“บ้าน” ถือเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูง เวลาเราเลือกซื้อบ้านสักหลังจึงต้องคิดในหลายๆมุม ดังนั้นใครที่กำลังจะตัดสินใจซื้อบ้านใหม่อยู่ โดยเฉพาะคนที่ซื้อบ้านหลังแรก เคยกังวลกันไหมคะว่าเราตัดสินใจเลือกบ้านได้ดีแล้วหรือยัง จะมีปัญหาอะไรตามมาทีหลังไหม อย่างเช่น

  • จ่ายเงินจองแล้วจะโดนโครงการเทไหม?
  • โครงการเราอยู่ในแนวเวนคืนหรือเปล่า?
  • เลือกทำเลนี้ดีไหม มีน้ำท่วม บรรยากาศภายในซอยเปลี่ยว ไม่ปลอดภัยหรือเปล่า?
  • บ้านที่เราจะซื้อถือว่ามีราคาแพงเกินไปไหม?
  • มีปัญหาเพื่อนบ้านชวนให้ปวดหัวไม่เว้นวันหรือเปล่า?
  • วัสดุและของที่ให้คุ้มราคาไหม?

แล้วอย่างงี้เราจะตัดสินใจซื้อบ้านทั้งที ต้องดูอะไรบ้าง ตามอ่านต่อด้านล่างได้เลยค่ะ

 

อย่างที่บอกไปนะคะว่าบ้านถือเป็นสินทรัพย์มูลค่าสูง ซึ่งอาจจะเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงสุดในชีวิตของหลายๆคน ที่มาจากการตั้งใจทำงานและเก็บเงินอย่างสม่ำเสมอเพื่อซื้อบ้านเป็นของตัวเอง ถ้าเราตัดสินใจเลือกซื้อบ้านผิด มีปัญหาตามมาทีหลังเยอะ ก็ทำให้บ้านที่เป็นเหมือนความภาคภูมิใจและความมั่นคงทางจิตใจของเรา ก็อาจจะกลายเป็นฝันร้ายไปได้เลย เราจึงสรุปข้อควรคำนึงในการตัดสินใจซื้อบ้านมาให้ดังนี้

  • ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และบริการหลังการขาย
  • แนวเวนคืนที่ดิน
  • ราคา
  • ที่ตั้งโครงการและสภาพโดยรอบ
  • พื้นที่ภายในโครงการ
  • ตัวบ้าน


ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และบริการหลังการขาย

การเลือกซื้อบ้านจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อเสียงและประสบการณ์มานาน จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับเราว่าจะได้บ้านมีคุณภาพตามมาตรฐาน เพราะว่าทางผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เองก็คงไม่ยอมทำบ้านไม่ได้มาตรฐานออกมาขายแลกกับชื่อเสียง ความน่าเชื่อถือที่สั่งสมมานานค่ะ นอกจากนี้ยังมีหลายๆโครงการที่เปิดขายโครงการตั้งแต่ยังไม่เริ่มก่อสร้างเลย ทำให้การเลือกซื้อกับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์มือใหม่ ไม่ค่อยมีใครรู้จัก สภาพคล่องทางการเงินและระบบการบริหารจัดการที่ไม่แข็งแรงก็อาจจะเกิดความเสี่ยงที่ไม่สามารถก่อสร้างโครงการได้จริงหรือหนีหายไป ติดต่อความคืบหน้าไม่ได้

อีกสิ่งที่เราต้องคำนึงด้วยคือบริการหลังการขาย เพราะว่าทุกคนก็อยากคงสภาพบ้านของเราให้สวยงามและน่าอยู่อาศัยไปนานๆ เราจึงต้องดูด้วยว่าทางนิติบุคคลที่เข้ามารับช่วงต่อหลังจากโครงการปิดการขายแล้ว มีระบบการดูแลลูกบ้านได้ดีมากน้อยแค่ไหน เช่น เสียงเห่าของสุนัข ปาร์ตี้ส่งเสียงดังรบกวน จอดรถขวางหน้าบ้านหรือปัญหาการซ่อมแซมหลังคา รอยร้าวต่างๆของบ้าน เป็นต้น

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

 

แนวเวนคืนที่ดิน

สิ่งที่เราอยากให้ระวังกันสำหรับการเลือกซื้อบ้านคือโครงการที่เราสนใจอยู่ในแนวเวนคืนที่ดินของรัฐบาลที่นำไปใช้ในกิจการที่เป็นสาธารณประโยชน์อย่างพัฒนาเป็นถนน ทางด่วนหรือแนวรถไฟฟ้าหรือไม่ เพราะว่าหากเราไม่ได้ติดตามข่าวสารโครงการพัฒนาต่างๆหรือเช็กแนวเวนคืนมาก่อนแล้วไปซื้อบ้านที่อยู่ในตำแหน่งแนวเวนคืนที่ดิน ก็ทำให้เราเสียทั้งบ้านและค่าใช้จ่ายต่างๆกับการซื้อบ้านหลังนี้ และที่เจ็บใจสุดคือการที่เราคาดหวังว่าจะเป็นบ้านที่เราจะอยู่ไปนานๆ แต่กลับกลายเป็นว่าเราต้องมาศึกษาหาซื้อบ้านใหม่อีกครั้งค่ะ ซึ่งปัจจุบันก็มีเว็บไซต์ในการตรวจแนวเวนคืนที่ดินได้ด้วยตนเองด้วยนะคะ สามารถอ่านข้อมูลได้ที่นี่เลย >> บ้านโดนเวนคืน ต้องทำอย่างไร ได้ค่าทดแทนเท่าไหร่

 

ราคา

แน่นอนว่าราคาของบ้านมีผลต่อการเลือกซื้อบ้านของทุกคน ว่าเรามีกำลังซื้อบ้านที่ถูกใจได้หรือไม่ แต่การจะควักเงินจ่ายซื้อบ้านสักหลังก็ ไม่ใช่เรื่องง่าย ใครๆก็อยากได้บ้านที่มีความคุ้มค่าหรือสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ ซึ่งราคาของบ้านแต่ละโครงการและแต่ละแปลงก็แตกต่างกันไป

  • ตำแหน่งที่ตั้งโครงการ สำหรับราคาของโครงการบ้านที่ตั้งอยู่ใกล้ๆกันก็ควรจะมีราคาที่เกาะกลุ่มกัน ไม่ควรมีราคาที่สูงหรือต่ำจนเกินไป แต่ถ้าเป็นบ้านที่ติดถนนใหญ่ ใกล้รถไฟฟ้า เป็นซอยที่ทะลุไปซอยอื่นๆได้สะดวก ก็ถือเป็น Trade Off มีราคาสูงกว่ากันบ้างเป็นเรื่องปกติค่ะ ดังนั้นถ้าเป็นบ้านที่อยู่ในตำแหน่งที่ตั้งที่ดี เดินทางได้ง่าย แต่มีราคาเกาะกลุ่มกับโครงการบ้านในซอยก็ถือว่าเป็นโครงการบ้านราคาดีที่น่าสนใจเลย
  • แบบบ้าน ทางโครงการจะออกแบบบ้านมาหลากหลายแบบ เพื่อให้เราสามารถเลือกได้ตรงตามความต้องการและไลฟ์สไตล์ของเรา ซึ่งเวลาเราไปดูแต่ละโครงการก็จะมีแบบบ้านที่ชื่นชอบที่สุดอยู่ และหากเราลองเอาราคาแบบบ้านที่เราถูกใจมาเปรียบเทียบกัน ก็อาจจะเห็นว่าบ้านราคาเท่ากันแต่ในอีกโครงการจะได้เป็นแบบบ้านหลังใหญ่ ได้จำนวนฟังก์ชันและพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้นด้วย จึงมีความคุ้มค่ามากกว่านั่นเอง
  • แปลงบ้าน แต่ละแปลงบ้านจะมีราคาที่แตกต่างกันไป อย่างโซนบ้านใกล้ประตูทางเข้า-ออกโครงการและพื้นที่ส่วนกลางก็มีราคาที่สูงกว่า ด้วยความสะดวกสบายในการใช้งาน และบ้านแปลงมุมที่มีที่ดินใหญ่กว่าก็จะมีราคาขายที่สูงกว่าบ้านแปลงมาตรฐานด้วย ถ้าหากราคาบ้านที่เราสนใจเท่ากันทั้ง 2 โครงการ แต่มีโครงการนึงที่ได้เป็นบ้านแปลงมุม ก็จะเหมาะกับครอบครัวที่เน้นพื้นที่สวนรอบบ้านเยอะให้เด็กๆและสุนัขวิ่งเล่น ในขณะที่อีกโครงการเหมาะกับคนที่ชอบใช้ชีวิตอยู่ในตัวบ้านมากกว่าหรืออยู่ในโซนบ้านที่เดินทางเข้า-ออกและใช้ส่วนกลางสะดวกค่ะ

 

ที่ตั้งและสภาพโดยรอบโครงการ

ถึงแม้ว่าเราจะตัดสินใจเลือกซื้อบ้านอยู่ในทำเลนี้แล้ว แต่ตำแหน่งที่ตั้งของแต่ละโครงการและสภาพแวดล้อมก็แตกต่างกันไป ซึ่งเราแนะนำว่าถ้าเป็นไปได้อยากจะให้มาดูโครงการบ้านที่สนใจทั้งตอนเช้า กลางวัน เย็นและตอนกลางคืน รวมไปถึงช่วงฝนตกด้วยนะคะ เพราะเราจะได้รู้ว่าเวลาที่เราเข้ามาอยู่อาศัยและใช้ชีวิตบนทำเลนี้แล้วจะต้องเจอกับอะไรบ้างในทุกๆวันค่ะ โดยเราจะค่อยๆไล่ไปทีละข้อเลยนะคะ

  • ที่ตั้งโครงการ ถึงแม้ว่าจะเป็นโครงการบ้านที่อยู่บนทำเลเดียวกัน แต่เส้นทางการเดินทางก็แตกต่างๆกันได้ มีหลายโครงการเลยที่ถึงจะตั้งอยู่ในซอยเดียวกัน แต่บ้านที่อยู่ต้นซอยอาจจะไปขึ้นรถไฟฟ้าได้สะดวกกว่าหรือบ้านที่อยู่ท้ายซอยใกล้กับจุดขึ้น-ลงทางด่วนมากกว่า ดังนั้นเวลาเราเลือกโครงการบ้านจึงต้องดูเส้นทางการเดินทางที่เราใช้ประจำ เช่น การเดินทางไปทำงาน เส้นทางรับ- ส่งลูกไปโรงเรียน หรือการเดินทางไปบ้านพ่อแม่ได้สะดวก เป็นต้น และหากเราดูให้ละเอียดอีกก็คือนอกจากจะรู้ว่าโครงการตั้งอยู่ในซอยอะไรแล้ว ต้องดูว่าตัวโครงการตั้งอยู่ฝั่งไหนของถนนเลย ดูว่าเป็นฝั่งที่วิ่งเข้าหรือออกเมือง แล้วถ้าปกติเราขับรถวิ่งเข้าเมืองทุกวัน แต่โครงการที่เราสนใจตั้งติดถนนที่วิ่งออกเมือง ก็ต้องดูว่ามีทางให้กลับรถไหม แล้วต้องไปกลับรถไกลขนาดไหนด้วยนะคะ
  • ฝนตก น้ำท่วม เวลาเราไปดูโครงการบ้านกันก็มักจะเลือกเป็นวันที่สภาพอากาศแจ่มใส ไม่มีฝนตก ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายๆคนชอบลืมคิดไปว่าหากฝนตกหนักแล้วบริเวณโครงการจะมีน้ำท่วมหรือไม่ ยิ่งเป็นโครงการที่อยู่ใกล้คลองหรือมีคลองผ่านกลางโครงการแล้ว เวลาน้ำขึ้นหรือฝนตกจะมีโอกาสน้ำท่วมได้สูง ซึ่งส่วนใหญ่โครงการเหล่านี้จะมีการออกแบบรองรับอย่างการสร้างเขื่อนกั้นเพื่อป้องกันเหตุการณ์น้ำท่วมอยู่แล้ว แต่สำหรับโครงการที่ไม่ได้อยู่ใกล้แหล่งน้ำเหล่านี้ก็อาจจะไม่ได้มีการออกแบบป้องกันน้ำท่วมเป็นพิเศษ พอเวลาฝนตกหนัก ไม่สามารถระบายน้ำฝนได้ทัน หรือพื้นที่ตั้งโครงการมีระดับต่ำกว่าพื้นถนนก็จะเกิดน้ำท่วมขังบริเวณโครงการนั่นเอง ดังนั้นการเลือกมาดูโครงการในช่วงฝนตกก็จะทำให้เราได้เห็นถึงสภาพโดยรอบและพื้นที่ภายในโครงการว่ามีน้ำท่วมขังไหมนั่นเอง
  • รถติดในซอยโครงการ เวลาเราไปดูโครงการก็อาจจะเป็นเวลาที่ไม่ได้มีรถติดมากมายนัก เราจึงควรมาดูบรรยากาศรอบโครงการในช่วง Peak Hour ตอนเช้าและตอนเย็นที่มีรถสัญจรไปมามากที่สุดของวันด้วยนะคะ ทั้งการไปส่งลูกที่โรงเรียนและไปสถานที่ทำงานว่ามีรถติดมากน้อยแค่ไหน รวมถึงได้รู้พฤติกรรมการเดินทางของคนในย่านด้วยว่าคนส่วนใหญ่ใช้เส้นทางไหนเป็นเส้นทางหลักหรือมีเส้นทางลัดเส้นไหนทะลุไปโซนอื่นๆได้ค่ะ
  • บรรยากาศเปลี่ยว ไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะตอนกลางคืนที่เราอาจจะเลิกงานหรือไปสังสรรค์กับเพื่อนจนกลับบ้านมาช้า บริเวณถนนที่ตั้งของโครงการมีไฟส่องสว่างตลอดแนวหรือไม่ เวลาขับรถกลับบ้านตอนดึกจะได้มองเห็นเส้นทางชัดเจน ขับรถกลับบ้านได้ปลอดภัยและบริเวณโดยรอบโครงการมีคนเดินผ่านไปมาตลอดหรือเงียบสงบไม่มีคนเลย
  • ใกล้สถานศึกษา การมองหาโครงการบ้านที่อยู่ใกล้สถานศึกษาก็เป็นสิ่งที่สำคัญในการเลือกซื้อบ้านสำหรับครอบครัวที่มีลูก ยิ่งมีบ้านใกล้โรงเรียนก็ทำให้ลูกไม่ต้องตื่นเช้าเกินไป พ่อแม่ไปรับ-ส่งได้ง่าย ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางมากนัก แต่ข้อที่ควรคำนึงของโครงการตั้งอยู่ติดสถานศึกษาเลยก็จะมีรถติดในตอนเช้า-เย็นที่พ่อแม่มารับส่งลูกๆ และมีเสียงรบกวนจากเด็กๆในช่วงเข้าแถวตอนเช้า พักกลางวันและเลิกเรียนตอนเย็น แต่หากเป็นครอบครัวที่ไม่ได้อยู่บ้านในช่วงเช้า-กลางวัน กลับมาบ้านในตอนเย็นที่เลิกงานและไปรับลูกที่โรงเรียน ก็จะไม่ได้มีผลกระทบในส่วนนี้และยังได้ความสะดวกสบายที่ลูกเรียนอยู่ใกล้บ้านด้วยค่ะ
  • ใกล้โรงงานหรือแหล่งมลภาวะที่ส่งเสียงดังหรือกลิ่นรบกวน ลองคิดดูว่าถ้าเราอยู่บ้านแต่ได้ยินเสียงดังและกลิ่นเหม็นตลอดเวลา เราก็คงอยู่อาศัยไม่ได้แน่นอน และหากเป็นโรงงานที่มีการปล่อยควันและใช้สารเคมีต่างๆในการทำอุตสาหกรรมก็ทำให้เราเกิดความเสี่ยงในการเจ็บป่วยและเป็นโรคได้ด้วย

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

 

พื้นที่ภายในโครงการ

หลังจากเราดูสภาพที่ตั้งโครงการกันแล้ว เราจะพามาดูบริเวณภายในโครงการกันต่อค่ะ ซึ่งหลายๆคนมักจะให้ความสำคัญกับบริเวณที่ตั้งโครงการกับตัวบ้านที่เราจะอยู่อาศัยเลย แต่จริงๆแล้วพื้นที่เชื่อมจากซุ้มประตูทางเข้า-ออกโครงการไปถึงหน้าบ้านที่อยู่อาศัยของเรานี้ก็มีประเด็นที่น่าสนใจอยู่เหมือนกัน ดังนี้

  • ความกว้างของถนนภายในโครงการ เริ่มตั้งแต่ถนนภายในโครงการว่าเราสามารถขับรถเข้า-ออกโครงการได้สะดวกไหม ให้คำนึงถึงในกรณีที่มีรถยนต์ของเพื่อนบ้านที่มักจะมาจอดตลอดแนวถนนทั้ง 2 ฝั่งดูด้วยนะคะว่าเราจะสามารถขับรถผ่านไปใช้พื้นที่ส่วนกลางและเข้า-ออกจากตัวบ้านของเราได้ไหม
  • ทิศทางของบ้านในโครงการ โดยส่วนใหญ่ทางโครงการจะออกแบบให้หน้าบ้านหันเข้าหาทิศเหนือ ใต้และตะวันออก ซึ่งเป็นทิศที่นิยมในการจัดวางบ้าน เนื่องจากไม่โดนแดดส่องโดยตรง ซึ่งจริงๆแล้วแต่ละทิศก็มีความโดดเด่นแตกต่างกัน โดยบ้านท่ีหันไปทิศเหนือจะไม่โดนแดดส่องหน้าบ้านในยามบ่าย จึงเหมาะกับคนที่ชอบมานั่งเล่นหน้าบ้านในตอนกลางวัน บ้านที่หันไปทางทิศใต้ เหมาะกับคนที่ชอบบ้านที่ได้ลมเข้าดีๆ บ้านที่หันไปทางทิศตะวันออกจะได้แดดอ่อนๆในช่วงเช้า ส่วนบ้านที่หันไปทางทิศตะวันตกจะได้แดดแรงกว่าทิศอื่นๆ ทำให้สามารถตากผ้าแห้งไว พื้นไม่เปียกชื้น
  • สังคมเพื่อนบ้าน ปัญหาคลาสสิกที่ถึงจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับคนอื่น แต่ถือเป็นปัญหาใหญ่ของเราเสมอ อย่าลืมนะคะว่าเราต้องอยู่บ้านทุกวัน ยิ่งใครที่เป็นแม่บ้านก็จะอยู่ที่บ้านตลอดเกือบ 24 ชม. หากเราไปเลือกซื้อบ้านหลังจากที่มีเพื่อนบ้านย้ายเข้ามาอยู่แล้วก็จะพอสังเกตและระวังได้อยู่ว่ามีการทิ้งขยะที่ล้นมาหน้าบ้านเราไหม เลี้ยงสุนัขแบบปล่อยเกินไปหรือส่งเสียงเห่าตลอดเวลา ปลูกต้นไม้ล้ำมาที่หน้าบ้านเรา มีนัดเพื่อนมาปาร์ตี้เสียงดังทุกวันหรือมีกลิ่นควันบุหรี่ที่ลอยมาก็ทำให้คนที่มีอาการแพ้ไม่สามารถอยู่อาศัยได้เช่นกัน
  • พื้นที่ส่วนกลาง ต้องคำนึงถึงการใช้งานจริงๆของเรา โดยส่วนใหญ่ทางโครงการจะชูจุดเด่นเรื่องส่วนกลางหลากหลาย เราก็จะรู้สึกว้าว มีหลายอย่างให้ใช้งานดีจังเลย แต่พอมาคิดถึงไลฟ์สไตล์ของตัวเองก็จะรู้ว่าจริงๆแล้วเราไม่ได้ใช้งานส่วนกลางทุกอย่างอยู่ดี อาจจะเป็นคนที่ชอบทำกิจกรรมต่างๆภายในตัวบ้านด้วยซ้ำ ดังนั้นเราจึงเลือกโครงการที่มีฟังก์ชันครบครันก็เพียงพอต่อการอยู่อาศัยแล้ว แต่หากเราเป็นคนที่ชอบกิจกรรมที่หลากหลายทั้ง Outdoor และ Indoor การเลือกโครงการฟังก์ชันส่วนกลางหลายอย่างก็จะเหมาะมากกว่า รวมถึงไม่ต้องไปเสียเงินค่าสม้ครและค่าเข้าใช้บริการที่อื่นอีกด้วย
  • ค่าส่วนกลาง จากพื้นที่ส่วนกลางที่หลากหลายหรือมีขนาดใหญ่ก็จะส่งผลต่อเนื่องมาที่ค่าส่วนกลางที่เราต้องจ่ายทางโครงการทุกเดือนว่าต้องเสียมากน้อยแค่ไหนในการดูแลรักษาเพื่อคงสภาพโครงการให้สวยงามและสามารถใช้งานได้ไปนานๆ ซึ่งค่าส่วนกลางนี้เป็นค่าใช้จ่ายที่เราต้องแบกรับระยะยาว หากเราเลือกอยู่โครงการที่มีค่าส่วนกลางสูงเพราะว่ามีส่วนกลางหลากหลายให้ใช้งาน แต่เราแทบไม่ได้ใช้งานเลย ก็เหมือนเป็นการเสียเงินเปล่าในทุกๆเดือน และหากเราคำนวณรายจ่ายนี้เป็นระยะยาวตั้งแต่ 1 ปี, 5 ปี ไปจนถึง 10 ปี ก็ถือเป็นจำนวนเงินก้อนใหญ่เหมือนกันนะคะ

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

 

ตัวบ้าน

สิ่งที่สำคัญที่สุดของการเลือกซื้อบ้านก็คือตัวบ้านที่เราจะต้องอยู่อาศัยนั่นเอง เพราะว่าเราควรจะรู้สึกสบายใจและผ่อนคลายที่สุดเมื่ออยู่ในบ้าน ดังนั้นจึงมีหลายประเด็นที่เราควรคำนึงให้ละเอียดก่อนที่จะตัดสินใจเลือกซื้อตั้งแต่อายุโครงการ โครงสร้างบ้าน ฟังก์ชันการใช้งาน รวมไปถึงการเลือกใช้วัสดุและสุขภัณฑ์ของโครงการค่ะ

  • อายุของโครงการ แน่นอนว่าใครๆก็ชอบของใหม่มากกว่าของเก่าอยู่แล้ว การเลือกซื้อบ้านก็เหมือนกัน ปกติบ้านที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไปนับตั้งแต่วันก่อสร้าง จะเริ่มเห็นถึงความทรุดโทรมต่างๆอย่างพื้นทรุดตัวหรือรอยแตกร้าวได้ ซึ่งการแก้ปัญหาที่จะตามมานี้ต้องเสียเงินค่าซ่อมแซมเยอะและไม่รู้ว่าจะมีปัญหาให้ซ่อมแซมอีกในอนาคตไหม รวมถึงโครงการที่เปิดขายมานานก็จะมีตำแหน่งบ้านที่เหลือในโครงการน้อยและเป็นตำแหน่งที่คนส่วนใหญ่ไม่เลือกกัน ดังนั้นหลายๆคนจึงเลือกซื้อเป็นโครงการใหม่มากกว่า ไม่ต้องกังวลกับความเสื่อมสภาพของโครงการและมีตำแหน่งบ้านให้เราเลือกได้ตามความต้องการด้วย สามารถอยู่อาศัยได้อย่างสบายใจและยาวนานขึ้นด้วย
  • โครงสร้างบ้าน ถึงแม้ว่าเราจะเลือกบ้านที่ตรงตามการใช้งานและไลฟ์สไตล์ในปัจจุบันมากแค่ไหน แต่ในอนาคตเราอาจต้องปรับเปลี่ยนบ้านตามพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปก็ได้ อย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือแต่งงานมีลูก เลี้ยงสัตว์หรือต้องพาพ่อแม่ผู้สูงอายุมาอยู่อาศัยด้วย ดังนั้นเราจึงต้องขยับขยายพื้นที่บ้านด้วยการทุบหรือต่อเติมบ้านนั่นเอง อย่างแรกที่เราต้องดูคือบ้านของเรานี้สามารถทุบปรับเปลี่ยนได้ไหม ถ้าโครงสร้างบ้านเป็น Precast ก็จะมีข้อจำกัดในการทุบผนัง ต่อมาการลงเสาเข็มที่นอกจากตัวบ้านแล้ว พื้นที่จอดรถและลานซักล้างได้ลงเสาเข็มไหม เป็นโครงสร้างแบบ Slab on Beam หรือ Slab on Grond ที่พื้นอาจจะทรุดตัวในอนาคตได้หรือเปล่าด้วย
  • ตัวบ้าน ปัจจุบันมีสไตล์บ้านที่หลากหลาย เช่น Classic, Modern, Mediterranean และ Nordic เป็นต้น ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคลว่าชอบความสวยงามของบ้านในสไตล์ไหน แต่นอกจากสไตล์บ้านแล้ว ยังมีเรื่องการออกแบบตัวบ้านเป็นบ้านหน้ากว้างที่จะได้ช่องแสงมาจากทางด้านหน้าบ้านมากกว่าปกติด้วย
  • พื้นที่สวนรอบบ้าน สำหรับบ้านเดี่ยวเองจะมีพื้นที่สวนรอบบ้านเยอะกว่าประเภทบ้านอื่นๆ ยิ่งถ้าเป็นบ้านแปลงมุมก็จะมีพื้นที่รอบบ้านมากกว่าแปลงบ้านมาตรฐานด้วย อย่างบ้านที่มีลูกเล็กๆ เลี้ยงสัตว์หรือชอบพื้นที่นั่งเล่นกลางสวนก็จะเหมาะกับบ้านที่มีพื้นที่สวนรอบบ้านกว้าง แต่สำหรับคนที่ไม่ได้ใช้งานพื้นที่รอบบ้าน ไม่อยากดูแลรักษาสวน ก็มองเป็นบ้านที่สร้างเกือบเต็มขนาดที่ดินแทนก็ดีเหมือนกัน จะได้พื้นที่ใช้สอยภายในบ้านที่เยอะมากขึ้นด้วย
  • การจัดวางฟังก์ชันภายในบ้าน นอกจากจะดูว่าแบบบ้านที่เราสนใจจะมีจำนวนห้องนอน ห้องน้ำและที่จอดรถเท่าไหร่แล้ว เราควรดูไปถึงการจัดวางแต่ละฟังก์ชันของบ้าน เช่น ห้องน้ำใช้งานร่วมกันของชั้นล่างอยู่ใกล้พื้นที่นั่งเล่นหรือห้องนอนผู้สูงอายุไหม ใช้งานได้สะดวกหรือเปล่า, Master Bedroom อยู่แยกฝั่งกับห้องอื่นๆเลย ก็จะได้ความเป็นส่วนตัวสูง, ห้องนอนชั้น 2 ออกแบบมีระเบียง แล้วมีความกว้างมากพอที่จะตั้งชุดโต๊ะเก้าอี้นั่งเล่นได้ไหมหรือได้เพียงยืนรับชมวิวกับทำมุมต้นไม้ แล้วถ้าเป็นครอบครัวที่ชอบห้องนอนไม่มีระเบียง ก็จะได้พื้นที่ใช้สอยภายในห้องเพิ่มขึ้นด้วยนั่นเอง
  • วัสดุและสุขภัณฑ์ นอกจากนั้นเราต้องดูเรื่องการเลือกวัสดุและสุขภัณฑ์ในการตกแต่งโครงการด้วยว่าเลือกใช้ได้เหมาะสมกับระดับราคาของบ้านไหม พอเราไปดูโครงการบ้านหลายๆโครงการในทำเลเดียวกันก็สามารถเปรียบเทียบกันได้ง่ายๆเลยว่าบ้านทำเลเดียวกัน ราคาบ้านใกล้ๆกัน โครงการบ้านไหนที่ใช้สเปควัสดุและสุขภัณฑ์ได้ดีกว่ากันค่ะ ถ้าเราไม่ได้เข้าเยี่ยมโครงการบ้านบ่อยๆ อาจจะไม่รู้ว่าโครงการนี้เลือกวัสดุและสุขภัณฑ์มาให้ดีหรือเปล่า สมมติง่ายๆคือมีอ่างอาบน้ำใน Master Bathroom ของทุกแบบบ้าน แต่พอเราไปเปรียบเทียบกับโครงการอื่นที่ระดับราคาและทำเลเดียวกัน ก็มีอ่างอาบน้ำใน Master Bathroom ทุกห้องเหมือนกันเลย ก็ถือว่าทางโครงการนี้ออกแบบเป็นไปตามมาตรฐานนะคะ ซึ่งจริงๆแล้วเราก็เลือกบ้านที่มีสเปคตามมาตรฐานเกาะกลุ่มไปกับราคาของโครงการอื่นๆบนทำเลก็เพียงพอแล้วค่ะ แต่ถ้าทางโครงการได้เลือกวัสดุและสุขภัณฑ์ที่ดีกว่าโครงการอื่นๆก็ถือเป็นจุดเด่นของโครงการที่น่าสนใจนั่นเอง

อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

หลังจากอ่านบทความจบกันแล้ว เป็นยังไงกันบ้างคะ เราต้องขอบอกนะคะว่านี่เป็นเพียงข้อควรคำนึงในการเลือกซื้อบ้านจากความคิดเห็นของผู้เขียนเท่านั้น สุดท้ายแล้วการเลือกซื้อบ้านมีสิ่งที่ต้องคิดและให้ตัดสินใจหลายอย่าง แต่ว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือการรู้จักตัวเองว่าเรามีความชอบอย่างไร ไลฟ์สไตล์ใช้ชีวิตและพฤติกรรมการอยู่อาศัยของเราเป็นแบบไหน ก็จะทำให้เรามั่นใจในการเลือกซื้อบ้านมากขึ้นค่ะ

ซึ่งการเลือกซื้อบ้านไม่ใช่สิ่งที่ต้องเร่งรีบตัดสินใจกันภายในไม่กี่วัน เราสามารถเลือกไปดูได้หลายโครงการ และถ้าอยากจะไปโครงการที่เคยไปดูมาแล้วอีกครั้งก็ได้เหมือนกัน หลายๆครั้งอาจจะมีความรู้สึกชอบบางโครงการแล้วแหละ แต่ยังไม่ได้ชอบแบบ 100% เราก็แนะนำให้ดูบ้านโครงการอื่นๆก่อนแล้วลองเปรียบเทียบดูอีกครั้งค่ะ ไม่แน่ว่าเราอาจจะเจอบ้านที่ตรงใจมากกว่าบ้านก่อนหน้านี้ก็ได้

แต่หลายๆคนก็ไม่ได้สะดวกไปดูหลายๆโครงการด้วยตนเอง ดังนั้นทาง Think of Living จึงได้เป็นตัวแทนของคนหาบ้านพาทุกคนไปดูแต่ละโครงการอย่างละเอียด ช่วยทุกคนประหยัดเวลาในการหาบ้าน ไม่ต้องไปเข้าเยี่ยมชมทุกโครงการ โดยเราได้เขียนรีวิววิเคราะห์จุดเด่นและแสดงความคิดเห็นจากประสบการณ์ เพื่อให้ทุกคนหาบ้านที่เหมาะสมกับตัวเองได้มากที่สุด ซึ่งพอทุกคนอ่านรีวิวของโครงการอื่นๆแล้วและคัดเหลือเพียงบางโครงการที่สนใจก็สามารถเข้าเยี่ยมโครงการได้ด้วยตัวเอง พร้อมเอาข้อมูลที่ทางเราได้รีวิวไปสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมกับทางโครงการได้โดยตรงนั่นเอง

สำหรับใครที่มีประเด็นหรือคำแนะนำอะไรที่อยากพูดคุยกันก็ Comment กันมาได้เลยนะคะ เพื่อจะได้เป็นประโยชน์สำหรับคนที่กำลังมองหาบ้านใหม่อยู่เหมือนกันค่ะ 😊