รีวิวฉบับที่ 1643 … Saladaeng One (ศาลาแดง วัน) เป็นหนึ่งใน Flagship Condominium ของ SC ASSET ที่พึ่งเสร็จ 100% ไปหมาดๆ ใช้เวลาก่อสร้างถึง 3 ปีเลย ด้วยการที่ต้องใช้วัสดุที่หรูหราอย่างหินอ่อนเป็นจำนวนมหาศาลมาตกแต่งทั้งภายในและภายนอกอาคาร กระจกแผ่นใหญ่ที่หยิบยกมาใส่ในห้องพัก เพื่อเน้นไฮไลท์อย่างการเสพวิวสวนลุมพินี และวิวเมือง City View ทางฝั่งตึกมหานคร เอาล่ะ ไปชมกันเลย

Fact @ 19 July 2018

  • Saladaeng One (ศาลาแดง วัน)
  • SC Asset Corporation Plc.
  • ULTIMATE CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดได้ที่นี่)
  • โครงการตั้งอยู่ใน : ศาลาแดงซอย 1 ถนนพระรามที่ 4 เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร
  • คอนโด High Rise 33 ชั้น พร้อมชั้นใต้ดินอีก 3 ชั้น 1 อาคาร 187 ยูนิต และ Pool Villa อีก 1 อาคาร
  • ที่จอดรถประมาณ 192 คันคิดเป็น 102% (ไม่รวมจอดซ้อนคัน)
  • จอดรถในอาคาร 7 ชั้น ที่ชั้น 1-4 และใต้ดิน 3 ชั้น
  • ที่ดินประมาณ 1-3-95.5 ไร่
  • เริ่มก่อสร้าง กลางปี 2015
  • ก่อสร้างแล้วเสร็จ กลางปี 2018
  • 1 Bedroom ขนาดประมาณ 50-57 ตร.ม.
  • 2 Bedroom ขนาดประมาณ 106-122 ตร.ม.
  • 2 Bedroom Duplex ขนาดประมาณ 106-122 ตร.ม.
  • 3 Bedroom ขนาดประมาณ 216 ตร.ม.
  • 4 Bedroom Penhouse ขนาดประมาณ 420 ตร.ม.
  • ความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดาน 3 เมตร
  • ราคาเริ่มต้นประมาณ 13.9 ล้านบาท หรือคิดเป็น 270,000 บาท/ตร.ม.
  • ช่วงราคาต่อตร.ม.ภายในโครงการ 270,000 – 350,000 บาท/ตร.ม.
  • เวปไซต์ลงทะเบียนโครงการ : คลิกที่นี่
  • Call Center : 1749

เพียงแค่การกด Like ก็เท่ากับการสนับสนุนข้อมูลเชิงลึกจาก Think of Living แล้วครับ

สามารถเลือกอ่านตามหัวข้อต่างๆได้โดยกดปุ่มด้านล่างครับ


เจาะลึกเรื่องทำเลที่ตั้ง

ก่อนจะเข้าไปชมรีวิว ต้องขอเกริ่นนิดนึงว่า โปรเจคนี้ ทาง Thinkofliving ได้เคยเข้าไปทำทั้งรีวิว VDO หลายครั้งแล้ว แต่ในคราวนี้เรียกว่าเป็นแบบเสร็จ 100% ก่อนส่งมอบให้ลูกบ้าน เลยจะเน้นที่ส่วนต่างๆเพื่อให้เห็นภาพของจริงกันครับ  ผลงานย้อนหลังอื่นๆอาทิเช่น

ทำเลที่ตั้ง SALADAENG ONE อยู่ในซอยศาลาแดง 1 แบบเดียวกับชื่อโครงการ ในแผนที่ผมทำแสดงสถานที่จุดสำคัญต่างๆในระยะรอบๆ อย่างที่ทราบกันอยู่แล้วว่าถนนสาทร และถนนสีลม พระราม 4 ตรงนี้เป็น CBD แห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ซึ่งเต็มไปด้วย Office Building , Community Mall, โรงแรม 4-5 ดาว ใหญ่เล็กเรียงอัดกันเต็มไปหมด แถมแถวนี้เป็นแหล่งรวมของสถานฑูตประเทศต่างๆ ทำให้มีชาวต่างชาติที่ทำงานประจำมาอยู่อาศัยกันค่อนข้างมาก สังเกตได้จากว่าคอนโดเปิดขายจะใช้คำว่า FREE HOLD ให้ดึงดูดกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติมาด้วย โรงพยาบาลที่ใกล้ๆก็มีรพ.จุฬาฯ กับรพ.บีเอ็นเอช (รพ.ดังทั้งคู่เลย) และสุดท้ายทีเด็ดที่สุดคงหนีไม่พ้นสวนลุมพินีที่อยู่ฝั่งตรงข้าม มีขนาดเนื้อที่ประมาณ 360 ไร่…  อื้อหือ ต้องลองเข้าไปเดินดูนะครับแล้วจะลืมบรรยากาศเมืองไปเลย

สำหรับการเดินทางด้วยรถ โครงการ SALADAENG ONE อยู่บนซอยศาลาแดง 1 ซึ่งเชื่อมกับถนนหลัก 3 สาย คือ สีลม สาทร และ พระราม 4 ถ้าออกไปสีลม จะไปโผล่ตรงอาคารซิคลิคเฮ้าส์ ตรง BTS สถานีศาลาแดงพอดีเลย ถ้าจะออกสาทร ก็จะออกตรงข้างตึก Tisco ส่วนพระราม 4 จะออกตรงอาคาร อื้อจื่อเหลียง หรือถ้าใครขับรถมาจากสะพานไทย-เบลเยี่ยม บนถนนพระราม 4 แล้วเลี้ยวเข้าซอยศาลาแดง 1 เลยก็ได้

จุดเด่นอีกอย่าง คือเรื่องของทางด่วน ที่ในแมพเราจะเห็นว่าตรงนี้เป็นย่านใจกลางเมือง ที่ถึงแม้มีปริมาณรถมากก็ตาม แต่มีจุดที่รองรับการเดินทางด้วยรถอย่างทางด่วนใกล้ๆถึงสองทางด่วนอย่างทางด่วนเฉลิมมหานคร (ที่ไกล้และสะดวกที่สุดคือ ด่วนบ่อนไก่ ขึ้นตรงพระราม 4) หรือทางด่วนศรีรัชไปขึนตรงสีลมก็ได้ครับ

แผนที่ระยะใกล้FULL

การเดินทางโดยไม่ใช้รถ ด้วยระยะทางที่ใกล้กับถนนใหญ่หลายฝั่ง เดินได้ทุกเส้นทาง ถนนทางเดินสะอาด คนพลุกพล่าน ค่อนข้างปลอดภัย และมีร่มเงาตลอดทาง จะเดินไปขึ้น BTS หรือ MRT ก็ไม่ไกลมากพอเดินได้แต่ต้องข้ามถนนหลายช่วงหน่อย หรือจะใช้บริการพี่วิน, แท็กซี่, สามล้อ ก็มีให้เรียกตลอดทั้งเส้นได้เลย

แผนที่นี้แสดงระยะใกล้มาหน่อย ทำให้เห็นถึงสถานีของรถไฟฟ้า 3 จุด คือ MRT ลุมพินี , MRT สีลม , BTS ศาลาแดง แต่สถานีที่ใกล้สุดคือ MRT ลุมพินีประมาณ 450 เมตร คือข้ามถนนบริเวณแยกวิทยุและเดินตามถนนพระราม 4 และเลี้ยวเข้าซอยศาลาแดง 1 ได้เลย หรือจะเดินเข้ามาทางซอยสาทร 2 ก็ได้นะครับระยะไม่ต่างกันมาก สภาพแวดล้อมบริเวณโดยรอบซอยศาลาแดง 1 และถนนศาลาแดงนั้นเต็มไปด้วยอาคารออฟฟิศสำนักงานต่างๆมากมาย เวลาเที่ยงๆวันจันทร์-ศุกร์จะคึกคักมาก ยิ่งช่วงต้นๆซอยใกล้ถนนสีลมที่เป็นแหล่ง Community Mall และ Office Building คนเยอะมากแทบตั้งแต่เช้ายันมืดเลยทีเดียว

และสุดท้ายสิ่งที่เปลี่ยนไปจากเดิมสมัยที่ผมได้มาทำรีวิวเมื่อ 3 ปีก่อน คือ การเกิด Mega Project แห่งใหม่ในกรุงเทพของ 2 ยักษ์ใหญ่อย่าง One Bangkok จาก TCC ที่มีมูลค่าโครงการถึง 120,000 ล้านบาท (เริ่มดำเนินการก่อสร้างแล้ว) / กับอีกเจ้าแปลงโรงแรมดุสิตธานี ที่จับมือกับ CPN ร่วมกันมูลค่าโครงการ 36,700 ล้านบาท ซึ่งทั้งคู่จะเป็นลักษณะ Mixed Use ที่ประกอบด้วยโรงแรม ออฟฟิศ คอนโด(Leasehold)

การที่มี Mega Project มาเกิดขึ้นใกล้ๆกับตัวโครงการ นับว่าเป็นผลดีนะครับ เพราะโปรเจคใหญ่เหล่านี้นอกจากจะเป็นหน้าตาให้แก่ประเทศแล้ว อนาคตถ้าสร้างเสร็จจะถือว่าเป็น Magnet ที่ดึงดูดคนเป็นจำนวนไม่น้อยเข้ามา ทั้งท่องเที่ยว ติดต่องาน มาทำงานทำธุรกิจ และเอาจริงๆ ศาลาแดงวัน นับว่าเป็นคอนโดแบบ Freehold ที่นับนิ้วได้เลยว่าได้วิวสวนลุมแบบเต็มๆตาครับ


เจาะลึกตัวโครงการ

SALADAENG ONE ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์  The One That Matters ที่สื่อถึงการได้จะครอบครองหนึ่งสิ่งในชีวิต (อย่างบ้านสักหลังควรจะแฝงไปด้วยความภาคภูมิใจที่ได้เลือกแล้ว) คอนโดตัวนี้นับว่าเป็นหนึ่งในสาม Luxury Flagship Condo ของ SC ASSET (อีกสองตัวคือ BEATNIQ และ 28 Chidlom)

การออกแบบ ตัวตึกออกแบบดีไซน์ Timeless Contemporary ที่เน้นความเรียบง่าย ไม่หวือหวามาก แต่ดูดีแบบอยู่ได้นานไม่ตกไปตามยุคสมัย การใช้หินอ่อนมาตกแต่งที่ผิว Facade ด้านนอกเป็นจำนวนมาก และต่อเนื่องไปกับ Aluminum Cladding ลายหินอ่อนสีขาวขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุดที่เป็นแคทีลีฟ(ส่วนยื่น) โดยรวมผมว่าดูเรียบแต่แฝงความเท่เอาไว้อยู่นะ

Facade บางส่วนก็จะมีส่วนที่ยื่นออกมาเป็นส่วนชมวิวและสามารถนั่งเล่นได้ภายในของห้องนอนเป็น Bay Window โดยส่วนช่องแสงหลักที่จะออกไประเบียงก็จะเป็นกระจกบานใหญ่ตรงกลางสูงจากพื้นขึ้นไปถึงเพดาน 3 เมตร และมีประตูบานเลื่อนประกบอยู่สองฝั่ง เพื่อรับวิวได้เต็มที่

เริ่มต้นที่บริเวณรั้วด้านหน้าของโครงการกันก่อน มาถึงเราจะก็เห็นส่วนของวัสดุกรุตกแต่งอย่างหินอ่อนสีขาว White Volakas และ หินอ่อนสีดำ Black Lauren มาอยู่ตั้งแต่ด่านแรกของทางเข้า และมีการจัดพื้นที่สีเขียวไล่ระดับขึ้นไปตั้งแต่ไม่พุ่มเตี้ย พุ่มกลางและต้นไม้สูง เพื่อบังสายตาจากภายนอกเวลาคนเดินผ่านไปมามองไม่เห็นด้านในครับ

ส่วนของทางเดินรถด่านแรกจะมีป้อมรปภ.สกรีนอยู่ตรงนี้ ซึ่งตัวประตูจะเป็นรั้วเหล็กไฟฟ้านะครับ เราจะเห็นได้ชัดๆจากมุมนี้เลยว่าที่ดินโครงการจะถูกถมสูงขึ้นจากถนนซอยศาลาแดงวันเกือบ 1 เมตรทีเดียว

ถนนด้านในโครงการทั้งหมดจะถูกปูด้วยคอนกรีตสแตมป์ด้วยความเรียบร้อยสวยงาม การเดินรถภายในโครงการนี้จะเป็นแบบ Two Way สวนทางกันได้ โดยเดินรถไปทางขวานะครับ / มองไปทางซ้ายมือที่เราเห็นผ้าใบสีขาวขนาดใหญ่ปกคลุมอยู่นั่นคือส่วนของยูนิตพิเศษอย่าง Villa ที่จะเป็นลักษณะคล้ายกับบ้านแนวราบ 3 ชั้น ที่มีจำนวน 2 ยูนิตเท่านั้นนะครับ (ปัจจุบันยังสร้าง 2 ยูนิตนี้ไม่เสร็จนะ)

มองไปทางขวามือเป็นส่วนของด้านหลังรั้วกำแพงภายนอกซึ่งต้นต้นไม้สูงขนาดกลางอย่างต้นปี และต้นจิกน้ำเอาไว้ ซึ่งพื้นที่สีเขียวตรงนี้แหละครับที่เป็นด่านแรกช่วยกรองเสียงและฝุ่นควันจากถนนด้านหน้า

สิ่งที่สะดุดตาอย่างแรกคือการตกแต่งผิวอาคารครับ โดยผิวด้านนอกของอาคารมีการกรุด้วยหินอ่อนเป็นจำนวนมหาศาล เพื่อเข้ากับความหรูหราของโครงการ โดยจะใช้หินอ่อนสีขาวธรรมชาตินำเข้าอย่างเจ้า White Volakas และ หินอ่อนสีดำ Black Lauren มาวางชิดกันมีความ Contrast และดูสวยงาม และตั้งแต่ที่ชั้น 5 ขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุดจะเป็นเป็น Aluminium Composite ที่เป็นลายหินอ่อนสีขาว เพื่อให้ดูต่อเนื่องกัน

ในส่วนนี้นี้เป็นวงเวียน Drop Off ครับ ถ้าใครมาส่งลูกบ้านก็สามารถวนออกตรงนี้ได้เลยไม่ต้องไปวยรอบอาคาร

สิ่งที่อยู่กลางวงเวียนก็คือ น้ำตกจำลองขนาดเล็ก ที่ปล่อยน้ำมาจากเพดานเป็นเส้นสายแบบนี้ จากที่ผมไปยืนมีเสียงของน้ำไหลพอสมควร แต่ว่าพอเรายืนจากประตู Lobby เสียงน้ำตรงนี้เป็นตัวกันเสียงวุ่นวายจากพื้นที่รอบๆ ได้ยินเป็นเสียงน้ำก็ดีกว่าแหะ รู้สึกธรรมชาติดีครับ

ข้างๆของพื้นที่ Drop Off Area จะมีพื้นที่รับรองแบบ Semi Outdoor ตรงนี้ ขึ้นไปดูกัน

พื้นที่รองรับแบบ Semi Outdoor ที่อยู่ฝั่งด้านหน้าอาคาร เป็นทั้ง Lobby แบบกึ่งกลางแจ้ง หรือว่าให้สำหรับคุณคนขับรถส่วนตัวมารอตรงนี้ก็ได้ จะได้ไม่ต้องไปใช้ Lobby หลักด้านในที่เปิดแอร์ครับ แต่ถึงอย่างนั้นพื้นที่ตรงนี้ก็ใช้วัสดุเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นหินอ่อนทั้งหลายมาจัดวาง รวมไปถึงรายละเอียดการซ่อนไฟ LED เป็นเส้นตารางตามฝ้าเพดานให้ดูหรูหราด้วย

ถัดจาก Drop Off จะเป็นทางเดินเฉลียงสเต็ปก่อนเข้าไปสู่ Main Lobby ด้านใน ซึ่งทั้งพื้นและผนังตรงส่วนนี้จะเป็นหินอ่อนสีขาวทั้งหมด มีส่วนทางรอบรับสำหรับรถเข็น และทางซ้ายมือเป็นส่วนของห้องน้ำ Visitor แยกชายหญิง

ด้านฝนเพดานตรงจุดนี้ใช้ Aluminum Cladding สีดำที่มีการเล่นระดับในมุมมองนะครับไม่เรียบๆแบนๆ ให้ดูมีมิติหน่อย

ซึ่งพื้นที่จอดรถข้างๆส่วนของ Main Lobby ตรงนี้สามารถจอดรถได้ 6 คัน (ภาพตอนนี้เป็นช่วงกำลังตกเย็นแล้ว เจ้าหินอ่อนสีดำ Black Lauren กำลังสะท้อนกับแดดเย็นสวยมาก)

ที่จอดรถ 6 คันตรงนี้เป็นตำแหน่งที่มีแท่ง EV Charger รองรับรถไฟฟ้าที่มีจำหน่ายกันบ้างแล้วในบ้านเรา เป็นแท่นชาร์จแบบไฟ 3 เฟส โดยการใช้งานก็มาแตะคีย์การ์ดลูกบ้านเอาครับ

รั้วกำแพงของโครงการนี้สูงประมาณ 3 เมตรเลยนะครับ (และอย่าลืมว่าที่ดินโครงการสูงกว่าถนนอีก 1 เมตร) ตัวรั้วก็ไม่ได้ทำเป็นคอนกรีตเรียบแบบทั่วไป มีการกรุตกแต่ง พร้อมทำไฟ LED เส้นยาวซ่อนเอาไว้ตามแนวกำแพงยาวไปเลย) ดูสวยงามดี

ในส่วนของพื้นที่จอดรถอาคารนี้ เป็นการจอดภายในอาคารโดยมีทั้งลงไปจอดที่ใต้ดิน 3 ชั้น และขึ้นไปจอดได้อีกที่ชั้น 2-4 นะครับ

การจะเข้าไปในส่วนของการจอดรถไม่ว่าจะลงล่างหรือขึ้นบน ในส่วนนี้จะต้อง Access ด้วยระบบ RFID(หรือ Easypass) แล้วรั้วไม้กั้นกระดกจะถูกเปิดยกขึ้นให้ ตำแหน่งนี้จะมีทั้งกล้อง CCTV ที่สอดส่องอยู่ด้วย

ผมลงมาดูส่วนที่จอดรถใต้ดิน 3 ชั้นกันก่อน ปกติที่ผมไปเจอที่จอดรถทั่วไปมักจะเป็นคอนกรีตขัดมัน แต่ว่าที่นี่ลงน้ำยา Epoxy (อีพ็อกซี่) ซึ่งที่มีคุณสมบัติให้ความยืดหยุ่นตัวได้ดีกว่า Floor Hardener ทำให้ปกปิดรอยแตกเล็กๆ ของพื้นผิวปูนได้ดีกว่า อีกทั้งยังสามารถป้องกันสารเคมี กรด-ด่าง ได้หลากหลายประเภท รวมถึงทำความสะอาดได้ง่าย

ในส่วนของที่จอดรถชั้น 2-4 จะเป็นพื้นคอนกรีตและคอนกรีตขัดมันนะครับ เพราะ Epoxy จะไม่ค่อยถูกกับแสงแดดเท่าไรนัก แต่ที่ผมเห็นช่องจอดจะค่อนข้างกว้างนะ มีกระจกโค้งที่ติดตั้งมาให้ทุกการตีโค้ง ลูกศรบอกชัดเจน มี CCTV และบันไดหนีไฟครบมาตรฐาน การจะเข้าโถงลิฟต์ก็ต้องใช้ Keycard Access

ขอกลับมาที่ทางเข้า Main Lobby อีกครั้งครับ ในส่วนนี้จะมีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ 1 คนตลอด 24 ชม. ซึ่งสอดส่องดูแลรับเรื่องลูกบ้านนะครับ

ตัวด้านใน Lobby จะเป็นแบบสูงพิเศษถึง 5 เมตร ซึ่งขนาดอาจจะไม่ได้ใหญ่โตอลังการมาก แต่ว่าก็พอเหมาะกับจำนวนยูนิตของลูกบ้าน และจะได้เปิดแอร์ได้ตลอด 24 ชม.ด้วย ทางซ้ายมือจะเป็น Counter Reception

ส่วนที่ผมชอบมากก็คือผนังกระจกช่องแสงทางนี้ครับ เค้าเลือกใช้กระจกแผ่นใหญ่แบบสูงจรดฝ้าเพดาน (5 เมตร) คือสูงมาก ทำให้ได้แสงธรรมชาติส่องผ่านมาได้เต็มที่และได้มุมการมองเห็นออกไปที่ดีไม่มีเส้นๆเพราะใช้หลายแผ่นมากหรือเห็นเฟรมอลูมิเนียม

และด้วยเนื่องโครงการระดับ Luxury มุมโซฟานั่งเล่นส่วนนี้ ทางโครงการเลือกใช้โซฟาแบรนด์ Minotti ซึ่งเป็นเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ระดับโลก (ถูกแล้วครับระดับโลกไม่ใช่ประเทศ) เป็นแบรนด์ของประเทศอิตาลี ซึ่งโซฟาชุดนี้ที่เอามาวางนั้นมูลค่าประมาณ 1 ล้านบาท! เข้าไปแล้ว เลยจัดหมอนอิงที่เข้ากัน Merino Wool ของแบรนด์ Hermes จาก Paris มาคู่กัน

โคมไฟหลักที่นี่ ไม่ได้ใช้แชนเดอเลียแบบที่ดูอลังการเวอร์วังมากไป แต่เลือกใช้แท่ง Crystal เป็นเส้นตรงลงมาที่ฐานมีการซ่อนไฟ LED ยิงลงมาตรงกลางของเส้นคริสตัลนี้จะเป็นตัวกระจายแสงไฟ ทำให้ดูเก๋ๆไปอีกแบบ

บันไดจุดนี้เป็นทางขึ้นไปสู่ห้อง นิติบุคคลด้านบนครับ และที่เห็นตำแหน่งใต้บันได(ประตูกระจกเงา) จะเป็น Mail Room และทางขวามือเป็นประตูเข้าสู่โถง Lift Lobby

ประตูเข้าสู่โถง Lift Lobby ซึ่งด้านในเป็น Double Volume เช่นกันสูงโปร่งมากๆ การจะเข้าตรงนี้ต้องใช้คีย์การ์นะฮะ

ภายในตัวลิฟต์ที่นี่ใช้ขนาดค่อนข้างใหญ่ทีเดียวนะ เป็นไซส์ที่รับได้ถึง 14 คนและหนักได้ถึง 1 ตัน เป็นของยี่ห้อ Mitsubishi ที่ผนังกระจกด้านหลังมีฝังจอ LED เอาไว้แสดงประกาศต่างๆจากทางนิติฯให้แก่ลูกบ้าน

ขึ้นมาที่ชั้น 5 ออกมาเจอกับโถงลิฟท์ โดยเลือกใช้ผนังกระจก เพิ่มลูกเล่นให้ภายในโถงดูไม่เรียบด้วยไฟที่เมื่อกระทบกันไปมา เกิดมิติที่หลากหลายภายในบริเวณนี้

ด้านนอกโถงลิฟต์เป็นส่วนของช่องแสงธรรมชาติขนาดใหญ่ และทางเดินค่อนข้างกว้างพิเศษ ปูด้วยพื้นหินอ่อนสีดำ และในส่วนของไฟที่ส่องออกมาจากผนังยังคงล้อไปกับเส้นนอนที่อยู่บนพื้นทำให้มีความรู้สึกต่อเนื่องกัน

ที่ชั้น 5 เป็นชั้นแรกของส่วนพักอาศัย ที่เราเห็นตรงใจกลางอาคารตรงนี้เป็นที่โล่งๆ ซึ่งทางโครงการเคยจัด Gallery Exhibition ประวัติผู้ร่วมออกแบบและกำเนิดโครงการ Saladaeng One นี้ไว้ด้วยนะ แต่ตอนนี้เอาออกไปแล้ว ไม่ได้มีรูปบรรยากาศตอนนั้นเก็บไว้ให้ดู ผมว่ามันดูดีนะแบบมีเรื่องราวกำเนิดของที่นี่

ให้ดูอีกมุมนึงครับ ตรงกลางเป็นคอนกรีตก่อเป็นที่นั่งเล่นที่กรุด้วยหินอ่อน และซ่อนไฟเป็น Indirect Lighting ไว้ที่พื้นด้านล่าง

ที่ชั้น 5 เป็นส่วนชั้นล่างสุดของ Void ใจกลางอาคารแบบนี้ ซึ่งที่นี้จะใช้ชื่อเรียกว่า Atrium ซึ่งจะมีถึง 2 จุด

ระหว่างเดินสำรวจไปแอบสังเกตเห็นเจ้าผนังตรงนี้ครับ เค้ามีการแบ่งผนังออกเป็นส่วนกว้างราวๆ 1 เมตรนิด ซึ่งการทำแบบนี้เค้าคิดไว้เผื่ออนาคต ถ้าเกิดกรณีผนังคอนกรีตมีรอยเล็กๆขึ้นมา (ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของตัวอาคารที่ผ่านไปหลายๆปี ด้วยปัจจัยต่างๆตามกาลเวลา) จะได้ซ่อมบำรุงเป็นจุดๆได้ง่ายครับและไม่ลามไปยังส่วนอื่นๆ เรียกว่ามีการคิดรายละเอียดเล็กๆน้อยๆไว้ด้วย

ขึ้นมาที่ชั้น 15 นะครับ โถงทางเดินภายในอาคารแน่นอนว่าระดับราคานี้ มีการเจาะช่อง Void ในชั้นพักอาศัยเพื่อให้แสงและลมผ่านเข้ามาได้ และยังได้เป็น Single Loaded Corridor(โถงทางเดินเดี่ยว) เพื่อความเป็นส่วนตัวอีกด้วย

การเลือกที่จะทำช่อง Void แบบนี้มักจะเห็นในโครงการระดับ Luxury หน่อย เพราะว่าโครงการต้องเสียพื้นที่ขายออกไปพอสมควร แลกมาให้กับ Benefit ที่ลูกบ้านจะได้รับเรื่องทั้งความปลอกโปร่งจากแสงแดดและลมที่ Flow เข้ามาได้ | โดยส่วนของ Double Void ฝั่งด้านหน้าตึกเริ่มตั้งแต่ ชั้น 6 – 19 และมาทางด้านหลังอาคารหน่อยส่วนที่เห็นอยู่ในรูปจะเริ่มมีตั้งแต่ชั้น 6 – 24

โครงการออกแบบโถงทางเดินให้เป็นตัว S ใจกลางอาคารแบบนี้ เลยทำให้มีบางห้อง(อย่างฝั่งทิศเหนือด้านหน้าโครงการ) เดินไกลนิดนึง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยอะไรเท่าไร (ก็ระหว่างชั้นนึงมีแค่ประมาณ 10 ยูนิตเอง)

ที่นี้ตรงที่สุดปลายทางเดินฝั่งด้านหน้าอาคารที่บอกว่าเดินมาไกลหน่อย ถ้าใครเลือกชั้น 16-20 ชั้นพวกนี้จะได้ช่องแสงพิเศษที่ส่องมายังโถงทางเดิน และเป็นแบบส่วนตัวด้วยนะ

นอกจากนี้พื้นที่สีเขียวที่มีให้ลูกบ้าน ยังถูกใส่เอามาให้อีก 3 ชั้น ที่ชั้น 16, 21 และ 25 เป็น Sky Pocket Garden แบบนี้ ตำแหน่งจะอยู่ฝั่งด้านหน้าอาคารเหมือนกับสระว่ายน้ำ แต่สามารถมองวิวได้รอบ 3 ด้าน 270 องศา เห็นทั้งสวนลุมพินี และมหานคร

ขึ้นมาที่ชั้น 30 เป็นอีกชั้นที่มีส่วนกลางหลักๆ ถูกนำมาไว้ชั้นบนๆสุดแล้ว โดยพอเราออกจากโถงลิฟต์จะเจอการแบ่งพื้นที่ส่วนกลางแบบในร่ม และกลางแจ้ง

ทางขวามือที่เห็นมีประตูทางเข้าไปยังห้องน้ำแยกชายหญิง และซ้ายมือเป็นส่วนทางเข้าห้อง Fitness โดยผนังด้านนอกกลับมาตกแต่งด้วยหินอ่อนสีขาวอีกแล้ว

ในส่วนของห้องน้ำผู้ชาญ ทั้งพื้นและผนังกรุด้วยหินอ่อนทั้งหมด ตัดกันทูโทนสีขาวและดำ จากในรูปเราจะเห็นถึงการใส่ใจในรายละเอียดของวัสดุไม่น้อย ทั้งเอาก๊อกน้ำฝังผนัง, wall hung toilet, การซ่อนไฟตามจุดต่างๆ ฯลฯ อุปกรณ์ส่วนใหญ่เป็นของ Grohe มีเครื่องเป่าลมร้อนให้มือแห้งของ Dyson ด้วยนะ

โดยในส่วนทั้งห้องคุณผู้ชายและห้องคุณผู้หญิง จะมีทั้ง ซาวน่า กับ สตีม มาให้ใช้ทั้งสองแบบเลย ซึ่งดูแล้วขนาดห้องสตีมจะใหญ่กว่าหน่อย นั่งได้ประมาณ 3 คนครับ

ออกมาด้านนอกอีกครั้ง ไปต่อกันที่ห้อง Fitness ที่อยู่ติดกัน

ภายในห้อง Fitness ขนาดถือว่าค่อนข้างกว้างนะครับ โดยเน้นไปที่ช่องแสงธรรมชาติ เพื่อแสงผ่านและยังรับวิวได้ 3 ด้าน มีการแบ่งพาร์ทิชั่นตรงกลางเอาไว้

ตำแหน่งของเครื่องเล่นจำพวกคาร์ดิโอ ลูวิ่ง ที่ปั่น ถีบ ทั้งหลาย จะถูกเอามาไว้ชิดกับหน้าต่าง เพื่อที่จะได้รับวิวสวยๆจากสวนลุม หรือไปฝั่งสถานฑูตเยอรมัน และเห็นโค้งน้ำเจ้าพระยาบางกระเจ้า

เครื่องออกกำลังกายที่นี่ใช้เป็นของ Life Fitness และอย่างเครื่องลูวิ่งนี่เป้นตัวซีรีย์ใหม่ ที่ซิงก์แอปกับมือถือได้ สามารถเก็บสถิติต่างๆ วิ่งแข่งกันกับเพื่อน หรือดูซีรีย์ไปด้วยเลยก็ได้

ด้านนอกติดกับห้อง Fitness จะเป็นมุมของ จากุชชี่ ซึ่งแบ่งพื้นที่การใช้งานแยกออกมาจากสระว่ายน้ำได้วิวสวยๆ

เวลามาแช่จากกุชชี่ จะเกาะขอบๆจะเห็นวิวแบบนี้ครับ สวนลุมพินี & Mega Project One Bangkok อนาคตถ้าสร้างเสร็จจะเป็นตึกสวยๆให้ลูกบ้านได้อานิสงค์วิวตึกสูงสวยๆในระยะราวๆ 550 เมตร

ส่วนของสระว่ายน้ำ ถูกวางเอาไว้ฝั่งด้านหน้าโครงการทางทิศเหนือ ตัวสระขนาดกลางๆ 5 x 25 เมตร ลึก 1.20 เมตร มีการปูพื้นด้วยชิ้นหินอ่อนเล็กมาต่อกันทั้งหมดสีขาว ริมสระมี Pool Bed เอาไว้ให้นอนเล่นอาบแดด และมีการตกแต่งทางน้ำไหลเพื่อให้มีเสียงผ่อนคลายระหว่างมาใช้

ซึ่งวิวที่ได้จากสระว่ายน้ำก็จะได้ 270 องศาเช่นเดียวกับสวนลอยฟ้าชั้นล่างๆนะครับ แต่ฝั่งนี้มันก็จะพีคๆหน่อย 😀

ผมอยู่จนถึงดึกเลยนะครับ เลยเอามาฝากอีกสักรูป กลางคืนที่สวนมืดไปแล้ว เราจะได้วิวของเหล่าตึกสูงย่านสุขุมวิทมาเป็น Background แทน สวยไปอีกแบบ

หันหลังจากสระมาเราจะเห็นบันไดส่วนนี้ครับ เป็นทางลัดขึ้นไปสู่ชั้น 31 ที่จะไปพื้นที่ส่วนกลางอย่าง Business Room, Sky Lounge หรือจะขึ้นลิฟต์แบบปกติมาก็ได้นะ

โดยเข้ามาที่ส่วนของ Business Room กันก่อน ขนาดของห้องไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่สิ่งที่สะดุดตาคือเจ้ากระจกใสแผ่นมหึมาที่ใส่มาให้แบบสูงจากพื้นจรดฝ้าเพดานห้องนี้(3 เมตร) เป็นการมานั่งคุยงาน อ่านหนังสือ แบบรับวิวบางกระเจ้าเต็มๆ

อีกฝั่งของมุมโต๊ะนั่งเล่นอ่านหนังสือ จะเป้นโต๊ะประชุมหินอ่อนแบบ 6 ที่นั่งสวยๆ

ซึ่งตรงกึ่งกลางห้อง Business Room นี้ มีลูกเล่นการแบ่งพื้นที่ห้องครึ่งนึงในการใช้งานเวลาต้องการความเป็นส่วนตัวได้ด้วย โดยดึงเจ้าประตูบานเลื่อนที่ถูกซ่อนเอาไว้ตรงนี้มาได้

ถัดมาห้องสุดท้ายของพื้นที่ส่วนกลางอย่าง Library & Sky Lounge ขนาดห้องจะพอๆกับห้อง Fitness นะครับ แต่สิ่งที่สะดุดตาผมก่อนเลยคือนี่ครับ (รูปถัดไป)

ตรงส่วนฝ้าเพดาน นอกจากใช้ indirect light แล้ว ยังใช้กระจกสีดำมาเป็นส่วนประกอบตกแต่ง ทำให้เกิด Reflection เงาสะท้อนของวิวสวนลุมพินีไปด้านบนแบบนี้ แบบตอนเข้ามา เห้ย.. เก๋ดีอ่ะ ชอบๆ

ตรงสวนนี้เหมือนกับให้มาเดินเล่นขายวิว สำหรับใครที่ไม่ได้อยู่ห้องฝั่งวิวสวนลุม ก็มาเสพวิวเอาที่พื้นที่ส่วนกลางตามจุดต่างๆได้เลย เรียกว่าเลือกตำแหน่งดีๆมาให้เชยชมวิวกันแล้ว

ในห้องนี้นอกจากจะมีมุมโต๊ะโซฟา นั่งอ่านหนังสือ อยู่หลายจุดแล้ว ยังมี Island ท๊อปหินอ่อนอยู่ตรงกลางห้องแบบนี้ เอาไว้เผื่อเตรียมเครื่องดื่มเบาๆมาด้วยเผื่อมาใช้งานห้องนี้ครับ

Image 1/15
Ground Floor

Ground Floor

ผมเอา Floor Plan ของทุกชั้นมาแปะไว้ให้ดูกันในนี้นะครับ (ยกเว้นชั้นส่วนที่จอดรถ และก็ Duplex Penthouse ชั้น 32 นะครับ) แต่ใครจะอยู่ตำแหน่งขนาดห้องไหนฝั่งไหนก็ลองเลือกกันได้เลย


View ภายในโครงการ : อย่างที่ผมกล่าวไปตอนแรกจุดเด่นของโครงการนี้นอกจากเรื่องวัสดุการตกแต่งแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ชาวคอนโดหลายท่านมักชื่นชอบเป็นอย่างมากคือเรื่องของ “วิว” ครับ ที่นี่วางตัวอาคารให้หันห้องหลักๆรับวิวสองฝั่งคือ ตะวันออก (ไปทางสวนลุมพินี ฝั่งนี้คือไฮไลท์หลัก ไม่น่ามีปัญหาห้องขายไปไวมาก) และฝั่งตะวันตก (City View จริงๆแล้วปัจจุบันในพื้นที่ติดๆกับโครงการถัดออกไปยังไม่มีตึกสูงขึ้นมาได้ในระยะประชิด จะมีห่างออกไปก็ราวๆ 250 เมตร ทำให้เวลาเรามองไปฝั่งนี้ก็เห็นเหล่าตึกพักอาศัย คอนโด ออฟฟิศสวยๆเป็นแบ็คกราวน์ เห็นรร.บันยันทรี ตึกมหานครด้วย)

ฝั่งทิศตะวันตกเฉียงใต้ ประมาณชั้นที่ 25 ขึ้นไป ฝั่งนี้หลายๆคนตอนแรกมักจะมองข้าม เพราะที่นี่ตอนชูจุดขายแต่ฝั่งสวนลุมพินีครับ แต่จริงๆแล้วอย่างที่บอกว่า ในระยะประชิดเราไม่มีตึกสูงนะ ต้องห่างออกไป 2-3 ร้อยเมตรโน้น นั่นทำให้เหล่าตึกสูงต่างๆกลายมาเป็นหนึ่งใน Background ให้กับวิวฝั่งนี้

ยังอยู่ที่ฝั่งเดิมนะครับ ซูมไปสักนิดจะเห็นหนึ่งใน Iconic ของสยามอย่างตึกมหานครด้วย

ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ (ด้านหลังโครงการ) ฝั่งนี้จริงๆส่วนใหญ่จะเป็นตำแหน่งห้องหัวมุมที่ได้วิวควบมาทางนี้ด้วย วิวตรงนี้ถ่ายนมาจากชั้น 15 ครับ ซึ่งมองตรงไปจะเห็นสถานฑูตเยอรมันอยู่ตรงกลาง พื้นที่สีเขียวแน่นๆตาหน่อย

และถ้าใครเลือกชั้นสูงตั้งแต่ประมาณ 22 ขึ้นไป พอพ้นแหล่งบ้านพักอาศัยในโซนเย็นอากาศ จะเริ่มเห็นโค้งแม่น้ำเจ้าพระยากับพื้นที่สีเขียวขนาดยักษ์ของบางกระเจ้าด้วย

ฝั่งทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นไฮไลท์ที่สุดของที่สุดในโครงการแล้ว มุมนี้ถ่ายจากชั้นสระว่ายน้ำนะครับ นี่คือหนึ่งในคอนโดนับนิ้วได้เลยที่ได้วิวสวนลุมพินี เต็มๆตาแบบนี้และเป็น Freehold เรียกว่าคนที่มีกำลังสูงหน่อยและชอบวิวที่หาไม่ได้ง่ายๆ คงเลือกฝั่งนี้กันแน่นอน

ปิดท้ายกันด้วยภาพ Exterior ที่วันนั้นผมเข้าไปโครงการเค้ามีการเทสระบบไฟ “Full Load Test” ทดสอบระบบไฟฟ้าภายในอาคาร เช็คก่อนที่จะมีการส่งมอบห้องชุดแรกให้กับเจ้าของ (เดือนสิงหาคมนี้) โดยทำการเปิดใช้ไฟฟ้าทุกระบบพร้อมๆกัน ทั้ง ระบบแสงสว่าง,เครื่องปรับอากาศ ฯลฯ  จุดประสงค์เพื่อทดสอบว่าเมื่ออาคารมีการใช้ไฟเต็มรูปแบบแล้ว ระบบสายส่ง,ตู้เมนควบคุม,เบรคเกอร์ต่างๆ สามารถใช้การได้ตามปกติ รวมถึงเราจะได้ทราบว่า มุมใดของบ้านที่ต้องการแสงสว่างเพิ่มเติม เลยได้ภาพปิดท้ายงามๆมาแบบนี้แหละ 😀

สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก

  • ชั้น 1 : Main Lobby Double Volume กระจกบานใหญ่ 5 เมตร
  • ชั้น 16, 21, 25 : Sky Garden ฝั่งทิศเหนือด้านหน้าอาคาร
  • ชั้น 30 : สระว่ายน้ำระบบเกลือ ขนาด 5 x 20 เมตร ลึก 1.2 เมตร (ปูด้วยหินอ่อน)
  • ชั้น 30 : Jacuzzi Pool แยกโซนชมวิว
  • ชั้น 30 :  Sauna และ Steam แยกาชายและหญิง (มีทั้งคู่)
  • ชั้น 30 :  Fitness เครื่องออกกำลังกายรุ่นใหม่ล่าสุด LifeFitness
  • ชั้น 31 : Business & Meeting Room
  • ชั้น 31 : Sky Lounge
  • ลิฟท์โดยสาร 3 ตัวต่อ | Service Lift 1 ตัว
  • อัตราส่วนลิฟท์รวมทั้งโครงการ 187 : 3 หรือเทียบเป็น 62 : 1
  • ที่จอดรถประมาณ 192 คันคิดเป็น 102% ไม่รวมจอดซ้อนคัน
  • จอดรถในอาคาร 7 ชั้น ที่ชั้น 1-4 และใต้ดิน 3 ชั้น
  • EV Charger ชั้น 1 จำนวน 6 Slot
  • ระบบ CCTV / Access Card / RFID / รปภ. 24 ชม.


Product Walkthrough

ห้องแรกที่จะพาไปดูเป็นห้อง 1 ห้องนอน ขนาด 55 – 56 ตร.ม. ความสูงจากพื้นถึงฝ้า 3 เมตร โดยเริ่มจากเปิดประตูเข้ามาในห้องจะเจอกับห้องโถงรวมขนาดใหญ่ ที่รวมฟังก์ชัน ถึงโซนรับประทานอาหาร และห้องครัวเปิด ที่มีเคาน์เตอร์และ island เชื่อมกัน และส่วสนของพื้นที่นั่งเล่นรับแขก โดยสามารถมีประตูออกไปทางระเบียงได้ถึง 2 บาน พื้นที่ระเบียงมีพื้นที่วางคอมเพรสเซอร์แอร์แยกเป็นห้องสัดส่วน กลับมาที่ภายในห้องนอน ขนาดค่อนข้างกว้างมาก และมีห้องน้ำอยู่ในตัว และด้านหน้าห้องน้ำมีชุดตู้เสื้อผ้า Built-In และโต๊ะเครื่องแป้งมาให้ และมีอ่างอาบน้ำที่เป็น Sexy Bath ในตัว

โดยการขายห้องนี้ปกติจะเป็นแบบ Fully Fitted แต่ว่าวันที่เข้าไปทำรีวิวตอนนี้มีโปรโมชั่นเป็น Fully Furnised ที่จับมือกับดีไซน์เนอร์ Painting อย่าง Calico จากนิวยอร์ก พร้อมตกแต่งให้เสร็จเป็น Fully Furnished รวมมูลค่ากว่า 9 แสนบาท (สอบถามทางเจ้าหน้าที่เพิ่มเติม ณ วันเข้าไปชมโครงการนะครับ)

บานประตูหน้าห้อง ได้ขนาดค่อนข้างสูง สูงถึง 2.7 เมตรทีเดียว ก่อนที่จะเข้าตัวห้องจะมีส่วนที่เว้าเข้าไปหน่อยนึง เพื่อเพื่มความ Privacy ระดับนึง เวลาเปิดประตูเข้าออก ห้องอื่นมองตรงมาจะไม่เห็นครับ ตัวส่วนนี้จะมีการยกสเต็ปพื้นสูงขึ้นมาประมาณ 5 ซม. ดังนั้นเวลาแม่บ้านมาทำความสะอาดบริเวณโถงทางเดินก็จะไม่กระเด็นมาเลอะโดน และไม่ดันฝุ่นเข้ามาในตัวห้องอีกด้วย แถมวัสดุที่ได้มาเป็นหินจริงด้วยนะ

ตัวเปิดประตูเป็นแบบก้านจับแบบนี้ ไม่ได้ Digital Door Lock นะ ส่วนขอบประตูจะมีชีลรอบๆด้วยสักหลาดกันเสียงเพิ่มด้วย โดยถ้าเราเปิดประตูห้องเข้ามาส่วนแรกจะเห็นว่าพื้นเป็นหินอ่อนสีขาวก่อนเลย

เข้ามาในห้องแล้ว มองย้อนไปยังประตูทางเข้าห้อง โดยทางซ้ายมือ(เวลาเข้ามาห้อง)จะเป็นส่วนของชุดตู้เก็บของ เก็บรองเท้า Built-In ตำแหน่งใช้งานดีเพราะอยู่ใกล้กับประตู ส่วนทางขวามือ(เวลาเข้ามาห้อง)จะเป็นโซนครัว

โครงการทำชุดตู้ Built-In เก็บรองเท้ามาให้ ด้านนอกติดกระจกเงา Full High เอาไว้ สามารถเอาไว้เช็คการแต่งการของตัวเองก่อนออกจากบ้านได้ด้วย

ผมลองเปิดให้ดูภายตู้ฟังก์ชั่นเก็บของข้างในเป็นแบบนี้ ด้านล่างของตู้มีการเจาะช่องระบายอากาศเอาไว้ให้แล้ว แบ่งสัดส่วนชั้นไว้ค่อนข้างเยอะอยู่

ฝั่งตรงข้ามเป็นส่วนของโซนครัวแบบเปิด ชุดครัวจะเป็น Pantry ตัว L แบบนี้ วัสดุท็อปครัวจะเป็น Composite Stone (อย่าพึ่งเข้าใจผิดคิดว่ามันคือหินเทียมนะครับ เพราะถ้าไปดูที่ส่วนผสมแล้วจะเห็นว่า เขาใช้หินธรรมชาติถึง 95% มาบดแล้วมาคลุกกับโพลีเอสเตอร์เรซิ่นเพียงแค่ 5% เท่านั้น) วัสดุประเภทนี้เลยหมดปัญหาเรื่องการดูดซึมสูงเหมือนที่หินธรรมชาติเป็น แถมยังแข็งแรงกว่า ทนสารเคมีและกรด-ด่างได้มากกว่า

ทางฝั่งขวามือโซนนี้มีการทำหน้าบานไม้โอ๊คปิดเป็นสัดส่วนไม่ให้มองเห็น โดยด้านในจะเป็นส่วนของตู้เก็บเครื่องซักผ้า อบผ้า และมีตู้เย็นฝังของยี่ห้อ SIEMENS มาให้ด้วย พวกงาน Fitting ทั้งหมดเป็น Soft Close

ส่วนที่กรุผนังด้านข้างวัสดุจะเป็นเช่นเดียวกับท็อปครัว คุณสมบัติก็อย่างที่บอกไปแล้วด้านบน และมีชุดไฟ LED เก็บงานเนียนๆส่องบริเวณทำครัวตรงนี้ เตาไฟฟ้าแบบ 2 หัว ของ kuppersbusch พร้อมที่ดูดควัน และข้างๆมีเตาอบ และเป็นไมโครเวฟในตัว ของ SIEMENS ได้เช่นกัน

เรื่องเก็บของตรงครัวนี่หายห่วง นอกจากชุดตู้แขวนผนังที่ด้านบนแล้ว ด้านล่างที่ตามใต้ Pantry ยังมีอีกหลายส่วนมาให้ ทั้งหน้าบานเปิดและลิ้นชักเอยแบบนี้

ด้วยความที่ Pantry มีการต่อเนื่องยาวมาทำให้มีลักษณะเหมือน Island อยู่ในตัวแบบครัวฝรั่งด้วย เวลาทำอาหารจะได้มีปฎิสัมพันธ์กับคนภายในครอบครัวได้ ชวนกันทำ ช่วยกันประกอบอาหาร หรือพูดคุยกับคนที่อยู่ในโซน Living Area ก็ได้ครับ

Sink เป็นแบบฝังไปเลย ขนาดไม่ค่อยใหญ่มาก แต่ได้หลุมค่อนข้างลึก เจ้าตัวก๊อกน้ําจะได้เป็นของ Grohe ที่สามารถปรับอุณหภูมิน้ำได้ รวมไปถึงยืดหดปรับรูปทรงได้ค่อนข้างอิสระเวลาใช้งานนะ

ถัดมาในส่วนของ Living Area ขอเกริ่มอีกรอบครับ โดยการขายห้องนี้ปกติจะเป็นแบบ Fully Fitted แต่ว่าวันที่เข้าไปทำรีวิวตอนนี้มีโปรโมชั่นเป็น Fully Furnised ได้ครบตามนี้เลย โครงการที่จับมือกับดีไซน์เนอร์ Painting อย่าง Calico จากนิวยอร์ก พร้อมตกแต่งให้เสร็จเป็น Fully Furnished รวมมูลค่ากว่า 9 แสนบาท โดยห้องจะมี Mood&Tone 2 แบบนะครับ ผมถ่ายมาแต่ห้องนี้ จะดูอบอุ่นหน่อยๆ อย่างเจ้าสีของผนังทางขวามือ เป็นชื่อแบบ Aurora ที่ใช้เทคนิคการเพนท์ลักษณะทรงเดียวกับการย้อมครามนั่นเอง ยิ่งไปคอมโบกับ Indirect Lighting นี่ดีงามสุดๆ

การเข้าสู่โซนนั่งเล่น ตัวพื้นจะเปลี่ยนจาหินอ่อนสีขาวมาเป็น Engineer Wood 14mm.

หันไปทางซ้ายมือเป็นส่วนของโซนชั้นวางทีวีและ Cabinet ที่มุมนี้ ผมชอบเฉดเงาของแสงแดดที่ตกมาแบบเฉียงๆ ได้รับผลมาจากส่วนนึงของ Facade ด้านนอกที่เป็นแคทิลีฟ(ส่วนยื่น) ทำให้ได้ผลออกมาเป็นแบบนี้

ส่วนที่เป็นทีเด็ดของห้องนี้คือ Full High Mirror View สังเกตุได้จากบานตรงกลางจะเป็นกระจกแผ่นใหญ่เต็มบาน เป็นแบบบาน Fix เพื่อที่จะได้รับวิวได้เต็มที่ และระเบียงด้านนอกก็เป็นระเบียงแบบรับวิว ที่ราวกันตกเป็นกระจกนิรภัยจะได้ช่วยได้เห็นวิวเพิ่มไปอีก ส่วนประตูบานด้านข้างซ้ายและขวา สามารถออกไประเบียงได้ทั้งคู่เลยครับ

ฝั่งนี้เป็นพื้นที่ของโซฟาครับ จัดมาเป็นแบบ 3 ที่นั่ง

เดินอ้อมมาดูด้านหลังโซฟ ชุด Built-In นี้ยังรวมฟังก์ชันกับโต๊ะตัวนี้ซึ่งทำหน้าที่เป็นโต๊ะ 2in1 ทั้งรับประทานอาหารหรือทำงานได้ด้วย

ด้วยตำแหน่งของโต๊ะนี้ เวลาเราทานอาหาร หรือนั่งทำงานก็ยังดูทีวีและดูวิวไปด้วยก็ได้นะ 😀

ประตูกระจกบานเลื่อนที่ออกไปยังระเบียง ชุดประตูนี้ค่อนข้างดีและก็หนักพอสมควรโดยที่วงกบเป็นอะลูมิเนียม สีสั่งทำพิเศษน้ำตาลทองเมทัลลิค  |  ความพิเศษอีกอย่างคือ ถ้าใครเลือกห้องฝั่ง City View ตะวันตกเฉียงใต้ อาทิเช่นห้องนี้ ตัวกระจกโครงการจะอัพเกรดให้เป็น Low-E แทนครับ คือ กระจกกันความร้อนแบบการแผ่รังสีความร้อนต่ำ กระจกชนิดนี้โดยปกติจะเคลือบสารฉนวนกันรังสีอินฟาเรดหรือรังสีความร้อนไว้ ด้านในของกระจกฉนวน เพื่อทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้รังสีความร้อนแพร่ผ่านจากภายนอกเข้าสู่ภายในอาคารและห้องพักอาศัย

พื้นที่ระเบียงขนาดกว้างราว 60 ซม. แต่ว่าได้ความยาวพิเศษหน่อย โดยกันตกที่ฐานด้านล่างจะเป็นคอนกรีตเพื่อความเซฟตี้และรองรับน้ำหนักกระจกนิรภัยด้านบน มีการเว้นช่องลมที่ตัวกระจก เพื่อให้ลมผ่านได้และลดแรงกระแทกจากลมด้วย / ไฟที่ระเบียงนี้จะไม่มีที่ด้านบนนะครับ แต่จะทำเป็น Indirect Light ที่พื้นด้านล่างแทน ข้อดีคือเวลาเปลี่ยนไฟก็สามารถเปลี่ยนง่าย และดูแปลกตากว่าการที่เอาไฟไว้ด้านบนด้วย

เงยหน้ามองไปที่เพดานระเบียง วัสดุเป็นอลูมิเนียมคอมโพสิทลายหินอ่อนเหมือน Facade นอกอาคาร นี่แหละครับการออกแบบให้ส่วนนี้ยื่นออกไปเหมือนชายคาทำให้เฉดแสงแดดที่ส่องมาใน Living มีมุมองศาหน่อย และไอ้เจ้าร่องเซาะเป็นเส้นๆนั้น เป็นส่วนที่ทำไว้ให้เผื่อกรณีฝนกตก น้ำจะไม่ไหลย้อนเข้ามาในตัวห้องด้วยเรียกว่าคิดออกแบบมาเยอะทีเดียว

ฝั่งขวามือเป็นส่วนของห้องเก็บคอมแอร์ฯ มีตัวบานประตูอลูมิเนียมสีเดียวกับวงกบประตู และตัวปิดล็อกเรียบร้อย ลองเปิดให้ดูมีแบบวางไว้ที่พื้น และแขวนอยู่ด้านบนอย่างละตัว มีพื้นที่เหลือให้เข้าไปทำงาน Service ได้โดยถ้าเป็นห้อง Type ใหญ่หน่อยจะเห็น CDU Air เป็นแบบ VRV แทน

มองย้อนกลับไปในตัวห้อง ในส่วนของความสูงจากพื้นถึงฝ้าโถงหลักคือ 3 เมตร ส่วนตรงบริเวณครัวลดลงเหลือ 2.70 เมตรครับ มุมนี้เราจะเห็นว่าห้องเป็นระบบแอร์ฝังฝ้าเพดานที่เป็น Seamless ดูสวยงามและเรียบร้อย

ในส่วนของประตูห้องนอนจะเป็นแบบประตูทางเข้าห้องหลักเลยครับ ก็จะ Over Size หน่อย สูงถึง 2.70 เมตรกันเลย

เข้ามาด้านในห้องนอนแล้ว หันไปทางซ้ายก่อน เป็นส่วนมุมพื้นที่วางเตียง ซึ่งจัด King Size มาได้เลยสบายๆ โดยพื้นที่ทางเดินรอบเตียงทุกทิศทางเหลือแบบเดินสบายครับ ไม่ต้องเอียงตัว

ที่ปลายเตียงก็มีชุด Built แขวนผนังแบบนี้ สามารถเป็นชุดโต๊ะเครื่องแป้งขนาดยาวพิเศษได้ หรือจะเอาทีวีมาแขวนผนังนอนดูก็ได้นะ

จุดเด่นของห้องนี้คืออยู่ตำแหน่งมุม เลยได้ชุดหน้าต่างเข้ามุมรับวิวได้กว้างหน่อย ตัวหน้าต่างบานกระทุ้งสามารถเปิดออกได้ราว 15 องศาเท่านั้น เพื่อในส่วนของเซฟตี้

ทีนี้เจ้าห้อง 1 Bedroom แบบนี้ แต่ถ้าไม่ได้อยู่ตำแหน่งมุมอาคารล่ะ ตัวห้องนอนจะได้ของพิเศษมาทดแทนคือ Bay Window ที่ออกแบบให้พื้นที่นั่งเล่นยื่นออกไปรับองศาวิวที่กว้างเวลาไปนั่งนอนเล่น (พอผมได้ลงไปลองนั่งนอนเล่นต้องบอกว่า Inpact View มันดีกว่าแบบเรียบๆธรรมดาจริงๆ)

กลับมาห้องเดิมเรานะ มองย้อนไปในตัวห้องนอนทางประตูที่เข้ามา จะเห็นกระจก Sexy Bath จากในห้องน้ำด้วยแหละ ทางขวามือเป็นทางเดินไปทางเข้าห้องน้ำ

ซึ่งระหว่างจะเดินไปเข้าห้องน้ำนั้น ทางขวามือจะมีการ Built-In ชุดตู้เสื้อผ้าหน้าบานกระจกทั้งหมด 4 ตอนสูงยันจรดฝ้าไปเลย / ตรงกลางมองตรงไปจัดเป็นมุมพื้นที่โต๊ะเครื่องแป้งมาให้ ซึ่งด้านหลังหน้าบานกระจกนั้นเป็นชุดตู้เก็บของใช้เครื่องสำอางค์ในตัวได้ด้วย

ในห้องน้ำกันบ้าง ขวามือเราจะเห็นชุดตู้ติดบานกระจก อ่างล้างมือ และสุขภัณฑ์ ผนังรอบๆกรุด้วยหินอ่อน ทำให้เป็นทูโทนตัดกันขาวดำ ดูสวยงามดี โดยตำแหน่งห้องนี้จะมีช่องแสงพิเศษอยู่ตรงกลางห้องสามารถเปิดระบายความชื้นได้ด้วย ตัวพื้นห้องน้ำถูกลดระดับลงมาและแฝงรายละเอียดเล็กๆน้อยๆตามจุดต่างๆมีการทำลบเหลี่ยมมุมให้ด้วย

 

ทางขวามือติดกระจกเงาแผ่นใหญ่จากผนังชนผนัง ชุดบานตู้กระจกเก็บของหลังตู้ ซึ่งด้านหลังติดไฟซ่อนเอาไว้ให้ ดูสวยงาม

เคาน์เตอร์หินสีดำรอบๆอ่าง เป็นพื้นที่เก็บของใช้ในตัวได้เยอะทีเดียว สำหรับห้องน้ำ รวมไปถึงมีการทำชุดตู้ใต้อ่างเพิ่มมาอีกส่วน พวกชุดก๊อกก็เป้นแบบฝังผนังไปเลย อ่างเป็นของ TOTO และก๊อก Grohe

ตำแหน่งด้านหลังของสุขภัณฑ์เป็นส่วนของตู้ที่ซ่อนอยู่หลังกระจกเงา แบ่งชั้นวางของไว้หลายชั้นเก็บของได้พอสมควร และสุขภัณฑ์เป็นแขวนผนัง (Wall Hung Toilet) รวมถึงมีออฟชั่นติดตั้งเพิ่มแบบที่ชาวญี่ปุ่นชอบใช้กัน มีฟังก์ชั่นน้ำหลายรูปแบบ และเป่าลมได้

ส่วนห้องอาบน้ำแยกส่วนเปียกไว้กั้นด้วยกระจกนิรภัย พื้นที่อาบน้ำขนาดประมาณ 0.8 x 0.8 เมตร ขนาดยืนอาบได้คนเดียวพอดี พื้นถูกลดระดับลงมาหน่อย และก็ลบเหลี่ยมมุมเหมือนทางเข้าห้องน้ำ มีการซ่อนเดรนระบายน้ำไว้ให้ ส่วนชุด Shower เป็นของ GROHE นั้นเป็นแบบ Thermostatic ซึ่งสามารถตั้งอุณหภูมิไว้ได้ด้วยครับ ด้านบนมี Rain Shower แบบฝังฝ้าพร้อมไฟซ่อนหลืบเอาไว้ ในห้องน้ำมีระบบเสริมเป็นพัดลมดูดอากาศ

สุดท้ายส่วนของอ่างอาบน้ำ ที่เวลานอนแช่อ่างอาบน้ำ จะมองทะลุ Sexy Bath ออกไปมองวิวได้นิดหน่อย ตัวอ่างเป็นแบบฝังล้อมรอบด้วยหินสีดำแบบนี้ ด้านข้างมีชุดก๊อกเป็นของ Grohe แบบปรับอุณหภูมิน้ำได้เช่นกัน และมีฝักบัวแบบยืดและเก็บสายได้ด้วย

ปิดท้ายด้วยมุมมองอ่างอาบน้ำทะลุไปด้านนอกกระจกเข้ามุม Sexy Bath ครับ

ตัวแผงสวิทช์ควบคุมระบบไฟ แอร์ ต่างๆจะเป็นของ Schindler ซึ่งหน้าตาดูดีหน่อยมีทั้งเปิดปิดแบบธรรมดาและก็ Dim Light

**รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะครับ


ห้องตัวอย่างอีกห้องคือ ห้องขนาดใหญ่ 2 Bedroom ขนาดประมาณ 108 ตร.ม. Type 2D-1 โดยเริ่มจากเปิดประตูเข้ามาในห้องจะเจอกับ Foyer ก่อนที่จะไปถึงโซน Living Area ขนาดใหญ่ที่ประกอบไปด้วย โซนนั่งเล่นรับแขก โซนรับประทานอาหาร โซนครัวเปิด และมีทางออกไประเบียงด้านนอกขนาดใหญ่ ด้วยความที่เป็นห้องหน้ากว้างรับแสงได้มากอยู่แล้ว ห้อง Type นี้ยังเป็นตำแหน่งมุมอาคารด้วย เลยทำให้พิเศษหน่อยได้วิวสองฝั่งที่แตกต่างกันเลย ในส่วนของห้องนอนฟังชันในตัวมาแบบครบๆ ทั้งมุมโต๊ะเครื่องแป้ง  Walk in Closet และห้างน้ำในตัวที่มีอ่างอาบน้ำชมวิว ห้องนอนเล็กก็ไม่ต้องน้อยใจไปเพราะได้เจ้า BaY Window ที่เป็นส่วนสามเหลี่ยมยื่นเอาไว้นอนเล่นอ่านหนังสือรับวิวสวยๆไปแทน

Image 1/21
150

150

ซึ่งห้องนี้เอามาให้ดูเป็นแบบ Gallery สวยๆไปนะครับ ฟังก์ชันก็ตามที่อธิบายไว้เลย ผมว่าห้องนี้เหมาะสำหรับครอบครัวขนาดกลางที่อยู่กัน 3-4 คนได้แบบสบายๆ แถมรองรับแขกเวลามาบ้านได้เป็นอย่างดีเพราะให้น้ำหนักของ Common Area หรือโถงรวมไว้โดดเด่นพอสมควรครับ

ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 19 July 2018

  • 1 Bedroom ขนาดประมาณ 50-57 ตร.ม.
  • 2 Bedroom ขนาดประมาณ 106-122 ตร.ม.
  • 2 Bedroom Duplex ขนาดประมาณ 106-122 ตร.ม.
  • 3 Bedroom ขนาดประมาณ 216 ตร.ม.
  • 4 Bedroom Penhouse ขนาดประมาณ 420 ตร.ม.
  • ราคาเริ่มต้นประมาณ 13.9 ล้านบาท หรือคิดเป็น 270,000 บาท/ตร.ม.
  • ช่วงราคาต่อตร.ม.ภายในโครงการ 270,000 – 350,000 บาท/ตร.ม.
  • Fully Fitted ได้ชุด Built-In ครัวทั้งหมด, ตู้เก็บของหน้าห้อง, ตู้เสื้อผ้า
  • ได้แอร์ระบบฝังฝ้าเพดาน Seamless ทุกห้อง
  • ฝ้าเพดานสูง 3 เมตร
  • Kitchen & Sink + Hob Hood Oven Refrigerator by SIEMENS
  • จอง, ทำสัญญา (สอบถามรายละเอียดหน้างาน)
  • ค่ากองทุน 900 บาท/ตร.ม.
  • ค่าส่วนกลาง 90 บาท/ตร.ม./เดือน

  • ตอนนี้โครงการมีโปรโมชั่นเฉพาะห้อง 1 Bedroom ที่จับมือกับดีไซน์เนอร์ Painting อย่าง Calico จากนิวยอร์ก พร้อมตกแต่งให้เสร็จเป็น Fully Furnished รวมมูลค่ากว่า 9 แสนบาท (สอบถามทางเจ้าหน้าที่เพิ่มเติม ณ วันเข้าไปชมโครงการ)

**ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ครับ


เจาะลึกรวบยอด

ทำเล SALADAENG ONE  อยู่ติดกับซอยศาลาแดง 1 บริเวณตรงข้ามกับอาคารอื้อจือเหลียง ต้องบอกก่อนเลยว่าซอยศาลาแดง 1 หรือ ถนนศาลาแดงเนี่ยเป็นแหล่งรวมของพวก Office Building  ทั้งหลายมากมายทั้งบริษัทไทยและต่างชาติ อีกทั้งยังเป็นแหล่งรวมของสถานทูตต่างๆอีกด้วย ทำให้วันจันทร์-ศุกร์ช่วงเวลาทำงานเนี่ยร้านอาหารริมทางตลอดทั้งเส้นจะคึกคักมากๆ แถมยังมีแหล่ง Community Mall, โรงแรม, โรงเรียน,โรงพยาบาล , ร้านอาหารอีกเพียบ เรียกว่าความอุดมสมบูรณ์ครบครัน

ตัวโครงการ ตั้งอยู่ในทำเลใจกลางเมืองที่ค่อนข้างดีมากในแง่ของการเดินทาง และถ้าเราทำงานอยู่แถวสาทร สีลม แล้ว โครงการนี้ทำเลเหมาะมาก แต่ก็มีข้อเสียเหมือนกัน สำหรับคนที่ Serious เรื่องวิว และ Privacy เพราะมันแวดล้อมไปด้วยอาคารสูงและอาคารสำนักงานเช่นกัน ซึ่งจะบดบังวิวดีๆในบางมุม ในเรื่องของวิวห้องหลักจะแบ่งออกเป็นสองฝั่งคือ ตะวันออก (ไปทางสวนลุมพินี ฝั่งนี้คือไฮไลท์หลัก ไม่น่ามีปัญหาห้องขายไปไวมาก) และฝั่งตะวันตก (City View จริงๆแล้วปัจจุบันในพื้นที่ติดๆกับโครงการถัดออกไปยังไม่มีตึกสูงขึ้นมาได้ในระยะประชิด จะมีห่างออกไปก็ราวๆ 250 เมตร ทำให้เวลาเรามองไปฝั่งนี้ก็เห็นเหล่าตึกพักอาศัย คอนโด ออฟฟิศสวยๆเป็นแบ็คกราวน์ เห็นรร.บันยันทรี ตึกมหานครด้วย)

การเดินทางด้วยรถ โครงการอยู่บนซอยศาลาแดง 1 ซึ่งเชื่อมกับถนนหลัก 3 สาย คือ สีลม สาทร และ พระราม 4 ถ้าออกไปสีลม จะไปโผล่ตรงอาคารซิคลิคเฮ้าส์ ตรง BTS สถานีศาลาแดงพอดีเลย ถ้าจะออกสาทร ก็จะออกตรงข้างตึก Tisco ส่วนพระราม 4 จะออกตรงอาคาร อื้อจื่อเหลียง หรือถ้าใครขับรถมาจากสะพานไทย-เบลเยี่ยม บนถนนพระราม 4 แล้วเลี้ยวเข้าซอยศาลาแดง 1 เลยก็ได้

จุดเด่นอีกอย่าง คือเรื่องของทางด่วน ที่ในแมพเราจะเห็นว่าตรงนี้เป็นย่านใจกลางเมือง ที่ถึงแม้มีปริมาณรถมากก็ตาม แต่มีจุดที่รองรับการเดินทางด้วยรถอย่างทางด่วนใกล้ๆถึงสองทางด่วนอย่างทางด่วนเฉลิมมหานคร (ที่ไกล้และสะดวกที่สุดคือ ด่วนบ่อนไก่ ขึ้นตรงพระราม 4) หรือทางด่วนศรีรัชไปขึนตรงสีลมก็ได้ครับ

การเดินทางด้วยรถสาธารณะ ด้วยระยะทางที่ใกล้กับถนนใหญ่หลายฝั่ง เดินได้ทุกเส้นทาง ถนนทางเดินสะอาด คนพลุกพล่าน ค่อนข้างปลอดภัย และมีร่มเงาตลอดทาง จะเดินไปขึ้น BTS หรือ MRT ก็ไม่ไกลมากพอเดินได้แต่ต้องข้ามถนนหลายช่วงหน่อย หรือจะใช้บริการพี่วิน, แท็กซี่, สามล้อ ก็มีให้เรียกตลอดทั้งเส้นได้เลย แต่ถ้าจะดูแต่เรื่องของรถไฟฟ้าจะอยู่ระหว่างสถานีของรถไฟฟ้า 3 จุด คือ MRT ลุมพินี , MRT สีลม , BTS ศาลาแดง แต่สถานีที่ใกล้สุดคือ MRT ลุมพินีประมาณ 450 เมตร คือข้ามถนนบริเวณแยกวิทยุและเดินตามถนนพระราม 4 และเลี้ยวเข้าซอยศาลาแดง 1 ได้เลย หรือจะเดินเข้ามาทางซอยสาทร 2 ก็ได้นะครับระยะไม่ต่างกันมาก สภาพแวดล้อมบริเวณโดยรอบเวลาเที่ยงๆวันจันทร์-ศุกร์จะคึกคักมาก ยิ่งช่วงต้นๆซอยใกล้ถนนสีลมที่เป็นแหล่ง Community Mall และ Office Building คนเยอะมากแทบตั้งแต่เช้ายันมืดเลยทีเดียว

วัสดุ ของที่นี่จัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดีสมกับราคาที่จ่าย ถึงแม้จะเป็น Fully Fitted ครัว Top และกรุผนังด้วย Composite Stone, Built-in ตู้เก็บของ ตู้เก็บรองเท้า , ไฟหลืบซ่อนตลอดจนฝ้าเพดานที่สูง 3.0 เมตร มีการเก็บรายละเอียดลบมุมพื้น, ก๊อกน้ําของ Grohe แบบปรับอุณหภูมิน้ำได้ทั่วห้อง, เตาไฟฟ้าของ kuppersbusch, ตู้อบและไมโครเวฟในตัวของ SIEMENS, ตู้เย็นและตู้ซักผ้าอบผ้าอยู่ในตู้ Built-in เป็นสัดส่วน, แอร์แบบฝังฝ้าทั้งหมด,  งานพื้นมีทั้ง หินอ่อน หินจริง และ Engineer Wood 14mm. ในห้องน้ำกรุผนังด้วยหินอ่อน

การออกแบบ ตัวตึกออกแบบดีไซน์ Timeless Contemporar ที่เน้นความเรียบง่าย ไม่หวือหวามาก แต่ดูดีแบบอยู่ได้นานไม่ตกไปตามยุคสมัย การใช้หินอ่อนมาตกแต่งที่ผิว Facade ด้านนอกเป็นจำนวนมาก และต่อเนื่องไปกับ Aluminum Cladding ลายหินอ่อนสีขาวขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุดที่เป็นแคทีลีฟ(ส่วนยื่น) โดยรวมผมว่าดูเรียบแต่แฝงความเท่เอาไว้อยู่นะ โถงทางเดินภายในอาคารแน่นอนว่าระดับราคานี้ มีการเจาะช่อง Void ในชั้นพักอาศัยเพื่อให้แสงและลมผ่านเข้ามาได้ และยังได้เป็น Single Corridor Load โถงทางเดินเดี่ยวเพื่อความเป็นส่วนตัวอีกด้วย

ส่วนของห้องพักอาศัย ที่นี่จะค่อนข้างเน้นไปทางห้องขนาดใหญ่หน่อย อย่างเล็กสุดก็ 50 กว่าตร.ม.แล้ว การวาง Layout ห้องเลยจัดได้ง่ายลงตัว ประกอบกับการที่ออกแบบให้เป็นห้องหน้ากว้างเพื่อชูจุดขายเรื่องของวิวโดยความพิเศษอีกอย่างคือบานช่องแสงที่ห้องโถงทุกห้องจะเป็นกระจกบานใหญ่ตรงกลางห้อง ไม่ให้เห็นเฟรมระหว่างนั่งบนโซฟา สูงจากพื้นขึ้นไปถึงเพดาน 3 เมตร และมีประตูบานเลื่อนประกบอยู่สองฝั่งเรียกว่าค่อนข้างลงตัวแล้วเรื่องแบบห้องครับ

Facility มีมาให้พื้นฐานครบถ้วน มีสวนหย่อมรอบโครงการ และ Sky Garden ชั้น 16, 21, 25  ที่จอดรถประมาณ 192 คันคิดเป็น 102% ไม่รวมจอดซ้อนคัน ในอาคาร 7 ชั้น ที่ชั้น 1-4 และใต้ดิน 3 ชั้น ลิฟท์โดยสาร 3 ตัว และ Service อีก 1 ตัว  อัตราส่วนลิฟต์ 62 : 1 ที่ชั้น 30-31 จะเป็นส่วนกลาง มีทั้งสระว่ายน้ำระบบเกลือง 5 x 20 เมตร มีจากกุชชี่ ดูวิวสวนลุมพินี และห้อง Fitness และ Library Room จริงๆถ้าดูแล้วเหมือนจะไม่เยอะมากแต่ถ้าเทียนบกับอัตราส่วนยูนิตลูกบ้านผมว่าก็โอเคนะ แต่ก็ขอบอกไว้ก่อนส่วนกลางที่นี่ไม่ถูกนะครับ 90 บาท/ตร.ม./เดือน

Judgement

ราคาของคอนโดนี้ถือเป็นระดับ ULTIMATE CLASS ซึ่งความคุ้มค่าด้านราคาไม่ใช่ปัจจัยหลักเพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจซื้อแล้ว ยังมีเรื่องความคุ้มค่าด้านอารมณ์ Emotional ส่วนบุคคลที่มาเป็นปัจจัยหลักอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งตราบเท่าที่ทางเรายังไม่สามารถวัดค่ามาตรฐานทางอารมณ์ได้ ทาง Think of Living ขอไม่ให้คะแนนฟันธงในรีวิวเจาะลึกนะครับ เพราะเป็นสินค้าประเภท Unique Item และเราก็เชื่อว่าลูกค้าที่พร้อมจะซื้อคอนโดระดับนี้ ไม่ตัดสินง่ายๆด้วยคะแนนแน่นอน

BOTTOM LINE

Saladaeng One เหมาะกับคนที่มองหาบ้านที่อยู่ใจกลางเมืองใกล้กับ CBD อย่างสาทร สีลม การเดินทางสะดวกทั้งรถส่วนตัวและสาธารณะ จุดเด่นคือเรื่องของคนชอบวิว ที่มีทั้งวิวสวนลุมพินี และซิตี้วิวฝั่งเมืองมองเห็นเหล่าอาคารสวยๆรวมไปถึงมหานคร มีนิสัยเลือกของมองที่ความโดดเด่นสะดุดตา มีความเป็น Brand Name และ Unique Item เน้นที่รายละเอียดของ Product ในตัวโครงการด้วย ไม่ได้สนใจไล่หาของที่ถูกที่สุด มีงบประมาณระดับ 13.9 ล้าน ถึง 40 ล้านบาทขึ้นไป หรือมีกำลังผ่อนต่อเดือนที่ 100,000 บาทขึ้นเป็นต้นไป