รีวิวโครงการ

28 Chidlom : The Sneak EP.93

16 มกราคม 2021

อ่านรีวิวล่าสุด

รีวิวฉบับที่ 1951 … โครงการ 28 Chidlom หนึ่งใน 3 Limited Luxury Condominium Collection จาก SC Asset เป็นคอนโด High Rise 2 อาคาร ตั้งอยู่บนถนนชิดลม ใกล้ BTS ชิดลม 280 m. และเดินไปห้าง Central ชิดลม ได้ง่ายๆ โดยโครงการนี้เพิ่งสร้างเสร็จหมาดๆ และเปิด Open House ไปเมื่อวันที่ 7-8 กันยายน ที่ผ่านมานี้เอง ซึ่งของจริงจะเป็นอย่างไรวันนี้ตามผมไปชมพร้อมๆกันเลยครับ

ข้อมูลโครงการ

Fact @ 24 September 2019

  • The Villa สูง 20 ชั้น 182 ยูนิต
  • The Tower สูง 47 ชั้น 243 ยูนิต

  • ที่จอดรถประมาณ 366 คันคิดเป็น 86% ไม่รวมจอดซ้อนคัน
    • The Villa จอดแบบ Conventional 222 คัน
    • The Villa จอดแบบ Auto Parking 144 คัน

  • ที่ดินประมาณ 3-0-24 ไร่
  • เริ่มก่อสร้าง : พฤศจิกายน ปี 2559
  • สร้างเสร็จพร้อมอยู่ :  Q4 ปี 2562
  • แบบห้องของ The Villa
    • 1 Bedroom 37.87 – 56.56 ตร.ม. ราคา
    • 2 Bedrooms 75.38 – 88.52 ตร.ม. ราคา
    • 3 Bedrooms 98.83 – 132.54 ตร.ม.

  • แบบห้องของ The Tower
    • Studio 33 ตร.ม.
    • 1 Bedroom 40 – 50 ตร.ม.
    • 2 Bedroom 69 – 91 ตร.ม.
    • 3 Bedroom 120 – 200 ตร.ม.
    • Penthouse 100 – 190 ตร.ม.

  • ความสูงฝ้าเพดาน
    • The Villa สูง 3 m.
    • The Tower สูง 3.1 m.

  • ราคาห้องเริ่มต้น 12.5 ล้านบาท (โปรโมชั่นอาคาร The Villa ห้อง 1 Bedroom 38.69 ตร.ม.)
  • ราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรทั้งโครงการ 350,000 บาท/ตร.ม.
  • EIA (การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม) : ผ่านแล้ว
  • เวปไซต์โครงการ : คลิกที่นี่
  • Call center : 1749
  • ทำเลที่ตั้ง

    พิกัด Google Maps : 13.746526, 100.544257
    หรือสามารถ :  คลิกที่นี่

    แผนที่จากทางโครงการครับ

    โครงการ 28 Chidlom ตั้งอยู่บนถนนชิดลม ซึ่งถนนเส้นนี้เป็น One Way ขาเข้าเมืองจากเพชรบุรีมุ่งหน้ามาทางถนนเพลินจิตนะครับ โดยตรงแยกชิดลมนั้นก็เป็นแยกที่สามารถเลี้ยวขวาเพื่อไปสยาม หรือตรงไปหลังสวนก็ได้ แต่ถ้าใครที่ต้องการไปขึ้นทางด่วน ก็จะต้องไปวนรถเข้าสู่ถนนราชดำริ เพื่ออ้อมไปยังขึ้นทางด่วนเฉลิมมหานครที่ถนนเพชรบุรีได้นั่นเองครับ ซึ่งขากลับถ้าใครมาจากถนนฝั่งเพชรบุรีนี่จะง่ายมากๆเลยนะ แต่ถ้ามาจากฝั่งถนนสุขุมวิท – เพลินจิต ก็สามารถใช้ซอยสมคิดก่อนหน้านั้น เพื่อกลับเข้ามายังตัวโครงการบนถนนชิดลมได้ไม่ยากเลยครับ

    ส่วนเรื่องความอุดมสมบูรณ์ในใจกลางเมืองแบบนี้ ถือว่าสะดวกมากทีเดียว เพราะเราสามารถเดินไปห้างใหญ่ๆหลายห้างที่อยู่บริเวณโดยรอบได้ ทั้งห้าง Central ชิดลม ที่อยู่ตรงปากซอย ใกล้ๆกันก็มี Central Embassy, Big C และ The Market Bangkok หรือถ้าขยันเดินหน่อยก็จะมี Sky Walk ของ BTS เชื่อมต่อไป Central World และ Siam Paragon ก็ได้ครับ แต่ถ้าไม่อยากเดินก็สามารถนั่งรถไฟฟ้า BTS ต่ออีก 1 – 2 สถานี ก็สามารถไปเดินข้างได้ หรือจะเป็นตัวสถานีสยาม ที่เป็นจุด Interchange กับสายสีลมนั่นเองครับ

    สำหรับการเดินทางในวันนี้ผมนั่งรถไฟฟ้ามาครับ ง่ายมากๆเลยนะเพราะเราสามารถเดินจากตัวสถานีมายังโครงการได้ เพียงแค่ 280 m. เท่านั้น ก็จะเจอกับที่ตั้งโครงการอยู่ทางซ้ายมือแล้วครับ ซึ่งบรรยากาศระหว่างทางจะเป็นอย่างไรบ้าง เราไปเดินดูพร้อมๆกันเลย

    เริ่มต้นที่สถานีรถไฟฟ้า BTS ชิดลม ให้เราใช้ทางออกที่ 3 ครับ

    ทางออกที่ 3 จะอยู่ทางซ้ายมือนะ แต่ถ้าเราเดินตรงไปก็จะสามารถไป Central ชิดลม ได้นะครับ

    บันไดจะพาเราลงมาที่หน้าการไฟฟ้าพอดีเลย ซึ่งก็ให้เรากลับหลังหันแล้วเดินย้อนไปทาง Central ชิดลม ได้เลยนะ แต่ถ้าใครที่ไม่อยากเดินให้เมื่อย ด้านหลังผมนี้ก็จะมีวินมอไซค์ตั้งอยู่ด้วย (ซึ่งเค้าก็จะไปโครงการโดยใช้ซอยสมคิดที่ผมบอกไปตอนแรกนั่นเองครับ) หรือจะแวะซื้อของที่เซเว่นด้านหลังนี้ก่อนก็ได้

    เดินมานิดเดียวก็จะเจอกับแยกชิดลมแล้วครับ อย่างที่ผมบอกว่าแยกนี้เราสามารถเลี้ยวขวา หรือตรงไปก็ได้ แต่ตรงนี้เค้าห้ามเลี้ยวซ้ายนะครับ ดังนั้นจึงเป็นโครงการที่เข้าเมืองไปทางสยาม – ราชเทวี จะสะดวกกว่า แต่ถ้าจะไปเพลินจิตก็จะต้องไปอ้อมที่แยกราชประสงค์ครับ

    และด้านหน้าตรงปากซอยคือห้าง Central ชิดลม ซึ่งก็มีทางเชื่อมกับ Sky Walk เข้าสู่ตัวห้างได้โดยตรง ทำให้เราสามารถแวะช้อปปิ้งหรือทานอาหารที่ห้างนี้ ก่อนเดินกลับบ้านได้ง่ายๆเลยครับ

    ซึ่งจากแยกชิดลมนี้ก็ให้เราเลี้ยวซ้ายเข้าซอยมาได้เลยครับ

    ระหว่างทางที่ฝั่งตรงข้ามผมเห็นกำลังมีการล้อมรั้วก่อสร้างกันอยู่ ชื่อว่าอาคาร Vanissa เป็น Office Building ครับ นั่นหมายความว่าในอนาคตทำเลตรงนี้จะคึกคักขึ้นอีกมากเลยทีเดียว

    ซึ่งเมื่อเราเดินตรงต่อมาอีกหน่อย เราก็จะเจอกับที่ตั้งโครงการอยู่ทางซ้ายมือแล้วครับ

    **รูปนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้เห็นภาพรวมของโครงการแบบคร่าวๆไม่สามารถใช้อ้างอิงอย่างเป็นทางการได้นะครับ

    บริบทโดยรอบโครงการเนื่องจากเป็นทำเลใจกลางเมือง จึงมีอาคาร Low Rise และ High Rise สลับกันไปครับ แต่ก็ถือว่ายังมีระยะห่างให้ได้วิวที่เปิดโล่งอยู่พอสมควรเลยนะ สามารถสรุปได้ดังนี้

    ทิศเหนือ : ติดกันจะเป็นตึกแถวสูง 6 ชั้น ซึ่งที่ชั้นสูงๆจะมองเห็นคลองแสนแสบ และได้วิวฝั่งเพชรบุรี อาจมีคอนโดสูงอย่าง Q ชิดลม –  เพชรบุรี บังอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้อยู่ในระยะประชิดครับ

    แล้วถ้าเราลองก้มดูด้านล่าง จะเห็นว่าเยื้องๆกับที่ดินโครงการจะมีแปลงว่างขนาดใหญ่อยู่ 1 แปลง ซึ่งอนาคตจะกลายเป็นโรงแรมสูงประมาณ 23 ชั้นครับ อาจทำให้บังวิวตรงมุมอาคารที่ชั้นไม่สูงมากของฝั่งนี้ไปบ้างเหมือนกันนะ

    ทิศใต้ : ติดกันเป็นอาคารอรกานต์ สูง 16 ชั้น และที่ชั้นสูงๆจะมองไปทางถนนสุขุมวิท ได้วิวฝั่งหลังสวน

    ทิศตะวันออก : เป็นด้านหน้าโครงการ ฝั่งตรงข้ามถนนชิดลมเป็นอาคารสูง 5 – 6 ชั้น ซึ่งที่ชั้นสูงๆจะได้วิวฝั่งเพลินจิต ด้านซ้ายคือคอนโด The Park Chidlom  และทางขวาคือห้าง Central Embassy ครับ

    ซึ่งตอนนี้ผมอยู่ที่อาคาร The Tower ชั้น 44 ถ้าลองก้มลงไปดูก็จะเห็นอาคาร The Villa ที่อยู่ด้านหน้าสูง 20 ชั้นครับ ซึ่งดาดฟ้าของ The Villa เค้าจะปูหญ้าเทียมเอาไว้ด้วย เวลามองจะได้เห็นพื้นสีเขียวๆให้เย็นตาบ้าง

    ทิศตะวันตก : ด้านหลังโครงการมองเห็นห้าง Central World และอยู่ตรงกับตึก Centara Grand พอดีเลยครับ

    ทีนี้เรามาเดินดูทำเลรอบๆของจริงกันบ้างครับ เริ่มจากตัวโครงการจะตั้งอยู่ติดกับถนนชิดลมแบบนี้เลย

    ฝั่งตรงข้ามโครงการเป็นอาคารสูง 5 – 6 ชั้น แต่ที่น่าสนใจคืออาคารทางขวามือครับ ซึ่งเป็น Community Mall เล็กๆชื่อว่า 19 At Chidlom

    ภายในหลักๆเลยจะมีทั้ง MaxValu, Starbucks, The Pizza Company ซึ่งเราสามารถเดินมาอุดหนุนกันได้ง่ายๆ เพียงแค่ข้ามถนนมาเท่านั้น ส่วนด้านบนก็จะมีคลีนิคต่างๆอีกด้วยนะ

    ติดกันทางซ้ายของโครงการคือ อาคารอรกานต์ เป็นสำนักงานสูง 16 ชั้น และถ้าเดินตรงต่อไปก็จะออกไปทางถนนสุขุมวิท ซึ่งเราเคยเดินกันตอนขามาแล้วเนาะ

    ถ้างั้นผมจะพาเดินไปทางขวาของโครงการกันดีกว่าครับ ซึ่งจะไปออกถนนเพชรบุรีนั่นเอง

    ซึ่งถัดจากโครงการมาประมาณ 70 m. เราจะเจอกับเซเว่นที่ใกล้โครงการมากที่สุด ตั้งอยู่ด้านหน้าซอยราชดำริ 2

    และที่หน้าเซเว่นก็จะมีวินมอไซค์อยู่ด้วยนะ สามารถนั่งเพื่อไป BTS ที่ปากซอยได้ในราคา 15 บาท

    แล้วถ้าเราเดินตรงต่อมาก็จะเจอกับสะพานข้ามคลองแสนแสบ

    มองไปทางซ้ายมือจะเจอกับท่าเรือชิดลมครับ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกการเดินทางที่สะดวกมาก สามารถไปประตูน้ำ หรือไปบางกะปิได้เลยโดยไม่ต้องผจญกับปัญหารถติดบนท้องถนน

    ซึ่งวิธีการไปท่าเรือเราจะต้องลงสะพานข้ามคลองมา แล้วเดินกลับหลังไปตามทางข้างๆนี้ครับ

    แต่ถ้าเราเดินตรงต่อมาก็จะมีวินมอไซค์อยู่ตรงปากซอยถนนชิดลมฝั่งเพชรบุรี เผื่อใครที่มาทางเรือแล้วไม่อยากเดินเองก็สามารถมาใช้บริการพี่วินที่อยู่ไม่ไกลได้

    ซึ่งอัตราค่าโดยสารก็ประมาณ 15 – 20 บาทครับ

    สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น

    • Central ชิดลม – 180 เมตร
    • โรงเรียนมาแตร์เดอี – 270 เมตร
    • การไฟฟ้านครหลวง ชิดลม – 300 เมตร
    • อาคารเมอร์คิวรี่ – 400 เมตร
    • Central embassy – 500 เมตร
    • ศูนย์การค้าเกษร – 550 เมตร
    • Big C ราชดำริ – 750 เมตร
    • Central world – 750 เมตร
    • สวนลุมพินี – 1.4 กิโลเมตร
    • RBSC – 1.8 กิโลเมตร

    รายละเอียดโครงการ

    โครงการ 28 Chidlom เป็นคอนโด High Rise 2 อาคาร โดยแบ่งเป็น The Villa สูง 20 ชั้น 182 ยูนิต และ The Tower สูง 47 ชั้น 243 ยูนิต รวมแล้ว 425 ยูนิต บนที่ดิน 3-0-24 ไร่ แต่เดิมที่ดินผืนนี้เคยเป็นบ้านหลังใหญ่เลขที่ 28 ซึ่งที่ดินผืนใหญ่ขนาดนี้และอยู่ติดถนนชิดลมนับว่าหายากครับ ทำให้ที่ดินโครงการนี้เป็นหนึ่งในทำเลที่มีราคาแพงที่สุดบนถนนชิดลมเลยก็ว่าได้ ซึ่ง Facade อาคารมีแนวคิดในการออกแบบคือ Jewel – box หมายถึงกล่องอัญมณีที่เก็บสิ่งล้ำค่าที่ซ่อนอยู่ภายใน โดยการทำผนังของตัวห้องให้เป็นกล่องกระจกยื่นออกมาจากอาคารแบบสุ่ม ซึ่งเหลี่ยมมุมของกระจกนี้ก็จะสะท้อนกับแสง ทำให้เกิดประกายระยิบระยับเหมือนอัญมณีนั่นเองครับ และนอกจากนี้ยังมีประโยชน์ในแง่ของฟังก์ชันการใช้งานอีกด้วย ซึ่งเดี๋ยวผมจะพาไปดูในพาร์ทห้องตัวอย่างนะครับ

    ก่อนจะไปดูของจริง เรามาทำความรู้จักโครงการจาก Master Plan กันก่อนครับ ทางเข้า-ออกมีแค่ทางเดียวจากถนนชิดลมด้านหน้า ซึ่งเส้นทางเดินรถจะหักเลี้ยวเล็กน้อยก่อนจะตรงเข้ามา ทำให้คนภายนอกมองไม่เห็นด้านในเลย จึงค่อนข้างได้ความเป็นส่วนตัวครับ ซึ่งระหว่างอาคารจะเป็น Drop-Off ไว้วนรถรับ-ส่งคนได้ และเราสามารถเลือกได้ว่าจะจอดแบบที่จอดปกติใต้อาคาร Villa หรือจอดแบบ Auto Parking ที่อาคาร The Tower ก็ได้ครับ เพราะทั้ง 2 อาคารสามารถจอดร่วมกันได้ แต่ความจริงแล้วถ้าใครอยู่อาคารไหนก็มักจะจอดที่ตึกของตัวเองเลย เวลาขึ้น-ลงอาคารมาเอารถก็จะสะดวกหน่อย และถ้าจะต้องเดินข้ามกันก็จะมี Cover Walk Way ให้เดินได้สะดวก ตรงกลางจะเป็น Sunken Court และที่ด้านหน้า The Villa ก็จะมี Almond Court อีกจุดหนึ่ง ส่วน Lobby จะมีแยกอาคารเลยครับ ซึ่งพิเศษหน่อยจะสำหรับอาคาร The Villa ด้านหน้า ที่ชั้น 1 จะมี Reading Lounge อีกด้วย ส่วนของจริงจะเป็นอย่างไรเราไปชมพร้อมๆกันเลยครับ

    เริ่มกันที่ด้านหน้าโครงการ อย่างที่ผมบอกครับว่าเส้นทางเดินรถด้านใน จะหักเลี้ยวไปทางซ้ายเล็กน้อย ทำให้พอเรามองจากภายนอกโครงการจะไม่เห็นด้านในเลย ค่อนข้างได้ความเป็นส่วนตัวสูง ซ้ายมือเป็นป้อมยาม ซึ่งจะคอยตรวจดูรถที่ผ่านเข้า-ออกอยู่ตลอดเวลา โดยลูกบ้านที่มีสติกเกอร์เท่านั้นถึงจะผ่านได้ แต่ถ้าไม่มีก็ต้องแลกบัตร เพราะทางเข้านี้จะยังไม่มีไม้กั้นกระดกนะครับ ส่วนประตูรั้วเลื่อนสีดำก็จะปิดเฉพาะเวลากลางคืนเพื่อความปลอดภัยเท่านั้น

    เข้ามาด้านในก็เลี้ยวซ้ายมาตามทางได้เลย ส่วนทางขวาจะมีประตูรั้วกั้นส่วน Garden แยกเอาไว้เป็นสัดส่วน

    และนอกจากนี้ยังมีเส้นทางคนเดิน ที่ขนานไปกับเส้นทางรถยนต์แยกออกมาแบบนี้ด้วยครับ จะได้เดินได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น เพียงแต่จะไม่มีหลังคาคลุม เวลาเดินอาจร้อนหรือเปียกฝนได้นะ

    เมื่อเข้ามาด้านในก็จะเจอกับวงเวียน Drop – Off ที่อยู่ตรงกลางครับ เอาไว้รับ-ส่งคนบริเวณนี้ได้ และยังเป็นจุดแยกที่จอดรถ 2 จุดออกจากกัน โดยเราสามารถเลือกได้เลยว่าอยากไปจอดฝั่งไหนก็ได้

    โดยซ้ายมือจะเป็นการจอดแบบ Auto Parking ที่อาคาร The Tower ครับ ซึ่งก็จะมีไม้กั้นกระดกตรงนี้ เป็นระบบ RFID หรือสัญญาณ Bluetooth แบบ Easy Pass บนทางด่วน จะได้ไม่ต้องเปิดกระจกออกมาให้ร้อนหรือเปียกฝน ซึ่งเจ้าไม้กั้นกระดกนี้จะ link กับระบบที่จอด Auto Parking ด้วยนะครับ ถ้าที่จอดเต็มแล้วมันก็จะไม่เปิดให้เข้ามาแล้วนะ อาจต้องไปจอดที่ The Villa แทน โดยภายในจะมี 3 ช่องจอด (เป็น SUV 1 ช่อง และ Sedan 2 ช่อง) และมีสัญญาณไฟให้ดูได้ว่าลิฟต์ตัวไหนพร้อมใช้งานจะเป็นไฟสีเขียวครับ

    และเมื่อเราขับรถเข้ามาจอดแล้ว ก็สามารถเดินออกมาที่ประตูด้านข้างเพื่อเข้าสู่อาคารได้เลย โดยที่หน้าประตูตรงโถงทางเดินจะมีที่ให้เราสแกนบัตรอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งระบบก็จะจำเอาไว้ว่าเป็นรถของ Key Card ห้องไหน แล้วจะเอาไปเก็บไว้ช่องจอดไหน จากนั้นรถของเราก็จะถูกยกขึ้นไปเก็บไว้ด้านบน แล้วเราก็เดินแยกเข้า Lobby จากตรงนี้ไปแบบชิลๆได้เลย

    แต่ถ้าใครที่ต้องการจอดที่ The Villa ก็จะต้องวนรถมาเข้าที่จอดใต้ดินทางด้านขวานะ

    โดยที่จอดของอาคารนี้จะเป็นการจอดแบบปกติ ลึกลงไป 6 ชั้น ซึ่งที่ชั้นแรกนี้จะเป็นที่จอดของ Visitor ครับ ตรงกลางเป็นโถงลิฟต์ที่สามารถขึ้นตรงไปยังชั้นพักอาศัยได้โดยตรง และข้างๆก็มี EV Charger ให้อีก 2 ที่จอดด้วยกัน

    ส่วนทางเดินรถข้างๆกับ EV Charger ในอนาคตจะมีไม้กั้นกระดกระบบ RFID เหมือนกับตรงทางเข้า Auto Parking เมื่อกี้นี้เลยครับ โดยระบบที่จอดรถทั้ง 2 จุด จะใช้ฐานข้อมูลของ Key Card เดียวกัน และเชื่อมต่อกันอยู่ตลอดเวลา ซึ่ง Key Card ของยูนิตพักอาศัย 1 ห้อง สามารถจอดรถได้ตามจำนวนคันที่กำหนดเท่านั้น หมายความว่า ถ้าสมมุติห้องเราจอดรถได้ 1 คัน แล้วเราไปจอดที่ฝั่ง Tower เอาไว้แล้วคันนึง เราจะใช้ Key Card เดิมเพื่อมาจอดที่ Villa อีกคันไม่ได้นะครับ

    • ห้องชุดขนาดพื้นที่น้อยกว่า 98 ตร.ม. (1-2 Br.) ได้ 1 สิทธิ์ (ไม่ Fix)
    • ห้องชุดขนาดพื้นที่ตั้งแต่ 98 ตร.ม. ขึ้นไป แต่น้อยกว่า 118 ตร.ม (Penthouse Simplex) ได้ 2 สิทธิ์ (ไม่ F ix)
    • ห้องชุดขนาดพื้นที่ตั้งแต่ 118 ตร.ม. ขึ้นไป แต่น้อยกว่า 185 ตร.ม.(3Br.) ได้ 2 สิทธิ์ (Fix 1,ไม่ Fix 1)
    • ห้องชุดขนาดพื้นที่ตั้งแต่ 185 ตร.ม.ขึ้นไป (Penthouse Duplex) ได้3สิทธิ์ (Fix 1,ไม่ Fix 2)

    กลับออกมาจากใต้ดิน ต่อไปเราจะมาดูชั้น 1 ของฝั่ง The Villa กันก่อนนะครับ ซึ่งก็จะมีทางเดินเชื่อมไปได้แบบนี้

    และก่อนเข้าประตู Lobby ทางขวามือ ผมจะขอพาเดินไปดูสวนด้านข้างก่อนสักนิดนึงนะ

    ตรงนี้เป็นที่นั่งเล่น ซึ่งเค้าออกแบบมาเป็น Design ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของที่นี่ แยกออกเป็น 3 กลุ่ม ค่อนข้างเป็นส่วนตัวครับ

    แล้วถ้าเราเดินตรงมาตามทางเดินก็จะมาโผล่ที่สวนด้านหน้าโครงการ ซึ่งเป็นจุดเดียวกับตอนแรกที่เราเข้ามาจากป้อมยาม แล้วเห็นว่ามีรั้วกันอยู่นั่นเองครับ ด้านหน้าจะเป็นต้นหูกวางอายุกว่า 50 ปี ซึ่งเป็นต้นไม้ดั้งเดิมของที่ดินแปลงนี้ ที่โครงการอนุรักษณ์เอาไว้ครับ โดยที่ใต้ต้นไม้ก็จะทำเป็นที่นั่งพักผ่อนเอาไว้ด้วยนะ

    กลับมาที่ Lobby ของ The Villa จะมีการตกแต่งด้วยหินอ่อนสีขาว เน้นโทนสีสว่าง ตัดขอบด้วยสีทองดูหรูหรา และมีฝ้าเพดานสูงแบบ Double Space ตรงกลางจะมีเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ และด้านขวาจะมีประตูเข้าไปยังโถงลิฟต์ ซึ่งจะต้องใช้ Key Card Access สำหรับลูกบ้านเท่านั้นถึงจะเข้าไปได้ครับ

    แต่ถ้าเป็นแขกมาหาก็สามารถนั่งรอที่โซฟาทางซ้ายมือนี้ได้เลยนะ

    เมื่อเข้ามาในโถงลิฟต์ก็จะเจอกับลิฟต์ 3 ตัว ซึ่งด้านในสุดจะเป็น Reading Lounge

    แต่ติดกับ Reading Lounge ด้านขวาจะมีห้องเล็กๆ ซึ่งภายในมี Smart Locker สามารถมาฝากของผ่านเจ้าเครื่องนี้ได้ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเลยเวลาทำการของนิติบุคคล

    และภายใน Reading Lounge ก็มีชุดเก้าอี้โซฟาแยกเอาไว้หลายชุดหลายมุมให้เลือก รวมถึงมีเครื่องชงกาแฟด้วยนะ และจะมีประตูให้เดินออกไปที่สวนด้านหน้าโครงการเมื่อสักครู่นี้ได้อีกด้วยครับ

    ส่วนภายในลิฟต์ก็ตกแต่งด้วยหินอ่อนและขอบสีทองดูหรูหราเลยทีเดียว

    ชั้นพักอาศัยจะเริ่มตั้งแต่ชั้น 2 เป็นต้นไปเลยครับ มีโถงลิฟต์อยู่ตรงกลาง ซึ่งไม่มียูนิตไหนเลยที่หันหน้าปะทะกับลิฟต์หรือห้องทิ้งขยะโดยตรง และได้เป็นโถงทางเดินแบบ Single Corridor ได้ความเป็นส่วนตัว ถือว่าวางผังได้ดีครับ และมีโถงทางเดินเป็นรูปตัว C โดยที่ตรงหัวละท้ายของทางเดินยาวตรงกลาง จะมีช่องหน้าต่างให้แสงและลมเข้า ทำให้ไม่อึดอัดมากนัก ซึ่งชั้น 2 กับ 3 จะคล้ายกับชั้น 4 เลยนะ ต่างกันแค่ 2 ยูนิตทางด้านหน้าที่จะสลับกันเล็กน้อย เพราะเป็นลูกเล่นของ facade ภายนอก และมีจำนวนเพื่อนบ้านในชั้นแค่ 10 ยูนิตเท่านั้นครับ

    ตั้งแต่ชั้น 5 เป็นต้นไปจะมีเพื่อนบ้านเพิ่ม 1 ห้อง เพราะจากเดิมห้องในกรอบสีฟ้าที่เคยเป็นห้องใหญ่ 2 Bedrooms ห้องเดียว ก็กลายเป็นห้องเล็ก 2 ห้อง และห้องทางด้านหน้าก็จะสลับ facade กันไปเรื่อยๆเหมือนเดิม ซึ่งลักษณะการวางแบบห้องในแต่ละด้านก็จะง่ายๆดังนี้ครับ

    ทิศเหนือ-ใต้ : เป็นห้องขนาดเล็กสุด 37 ตร.ม. จะหันออกไปทางด้านข้างของโครงการ ซึ่งห้องทางทิศเหนือจะได้วิวที่เปิดโล่งมากที่สุด

    ทิศตะวันออก : เป็นห้องขนาดใหญ่ 50 ตร.ม.ขึ้นไป หันหน้าออกไปด้านหน้าโครงการ ได้วิวค่อนข้างเปิดโล่งฝั่งเพลินจิต

    ทิศตะวันตก : เป็นห้องขนาดกลาง 43 – 45 ตร.ม. หันหน้าเข้าสู่ภายในโครงการ ถ้าเป็นชั้นไม่สูงมากจะมองเห็นสวนตรงกลางได้ แต่ถ้าเป็นห้องมุมก็จะมองเฉียงออกไปด้านข้าง ได้วิวเปิดโล่งได้เช่นกัน

    มาดูบรรยากาศบนชั้นพักอาศัยของจริงกันดีกว่าครับ เริ่มจากโถงลิฟต์ก็จะมีการตกแต่งดูหรูหราและสวยงามดีแบบนี้ และจะมีตู้จดหมายตั้งอยู่ด้วยครับ เวลาออกจากลิฟต์มาก็สามารถแวะหยิบได้ง่ายๆเลย ซึ่งตู้นี้จะมีอยู่ประจำทุกชั้นเลยนะ และเปิดด้วย Key Card ไม่ต้องใช้กุญแจไขครับ

    ส่วนบรรยากาศบริเวณ Corridor อย่างที่ผมบอกครับว่าเป็นแบบ Single ไม่ต้องเปิดประตูออกมาเจอห้องฝั่งตรงข้าม จึงค่อนข้างเป็นส่วนตัว และที่ปลายสุดของโถงยาวก็มีช่องหน้าต่าง ทำให้โถงทางเดินไม่มืดหรืออึดอัดจนเกินไป

    แล้วถ้าเราสังเกตดีๆที่ผนังจะมีการแบ่งแยกผนัง เพื่อป้องกันการแตกร้าวไม่ให้ลุกลาม ซึ่งจะสามารถซ่อมแซมหรือเปลี่ยนเฉพาะแผนที่เป็นปัญหาได้ง่าย และพอดีผมแอบสังเกตตรงทางเดินจะมีแถบอลูมิเนียมเส้นสั้นๆเป็นระยะๆ ที่สะท้อนกับแสงแล้วจะเห็นเหมือนเป็นแฉกรูปตัว V ที่ผนัง ซึ่งสถาปนิกอาจแอบใส่เข้ามาเพื่อสะท้อนมาจากชื่อตึกก็ได้นะครับ ส่วนตรงปลายทางเดินก็จะมีท่อระบายน้ำอยู่ด้วยนะ (พื้น Corridor มี Slope ลาดเอียง ป้องกันน้ำเจิงนอง)

    ส่วนชั้น 16 – 17 ห้องทางด้านหน้าจะกลายเป็นห้องขนาดใหญ่ที่สุดในอาคารนี้คือ 130 ตร.ม. ทำให้มีเพื่อนบ้านในชั้นนี้แค่ 9 ยูนิต เป็นส่วนตัวเพิ่มขึ้นอีกหน่อยครับ

    สำหรับชั้น 18 จะเป็น Main Facilities ของอาคารนี้ และมีส่วนพักอาศัยอยู่ด้วยแค่ 3 ยูนิต ซึ่งจะกั้นด้วยประตูที่ต้องใช้ Key Card เพื่อความเป็นส่วนตัว ซึ่งคนที่จะเลือกอยู่ชั้นนี้ก็จะมีความสะดวกในการมาใช้ส่วนกลาง แต่ชั้นของตัวเองก็อาจพลุกพล่านมากที่สุดเช่นกัน โดยส่วนกลางจะแบ่งหลักๆออกเป็น 2 ด้านครับ ด้านในโครงการเป็นห้อง Fitness อยู่ติดกับห้องน้ำเลย ส่วนด้านหน้าเป็น Swimming Pool ที่จะได้วิวค่อนข้างเปิดโล่งดี แต่ข้อเสียคือจะอยู่คนละด้านกับห้องน้ำเลยครับ จะเข้าห้องน้ำหรืออาบน้ำทีอาจไม่ค่อยสะดวกนัก ซึ่งของจริงจะเป็นอย่างไรเราไปชมกันเลยดีกว่าครับ

    เมื่อออกมาที่โถงลิฟต์จะมีทางแยกออก 2 ทาง โดยที่สุดทางเดินทางขวามือของภาพจะมีประตูกระจกอยู่ชุดหนึ่ง ซึ่งเป็นทางเข้าไปยังโซนพื้นที่พักอาศัย จะต้องใช้ Key Card Access เพื่อความเป็นส่วนตัว

    แต่ถ้าเราเลี้ยวซ้ายมาก็จะเป็นโถงทางเดินไปยัง Fitness และห้องน้ำครับ

    ผมพามาดูใน Fitness กันก่อนนะ ภายในมีขนาดพื้นที่ค่อนข้างใหญ่ทีเดียว แบ่งโซนพื้นที่การใช้งานออกเป็น 2 ฝั่ง ด้านขวาเป็นส่วนคาดิโอ (Cadio) ไว้วิ่งหรือปั่นจักรยานเพื่อเผาผลาญไขมัน ส่วนอีกด้านเป็นจะเป็นโซนเวท เทรนนิ่ง (Weight Training) สำหรับท่านชายทั้งหลายที่อยากจะเพิ่มกล้ามและ Six pack ครับ

    ติดกันจะเป็นห้องน้ำซึ่งมีแยกชาย-หญิง ภายในมีขนาดพื้นที่ค่อนข้างใหญ่ มีห้องน้ำ 2 ห้อง ซึ่งได้เป็นโถสุขภัณฑ์แบบอัตโนมัติ และมีห้องอาบน้ำอีก 2 ห้อง รวมถึงมีตู้ล็อคเกอร์ให้ด้วยครับ ซึ่งอย่างที่ผมบอกไปในช่วงแปลนแล้วว่าห้องน้ำนี้จะอยู่ค่อนข้างไกลจากสระว่ายน้ำ เวลามาใช้งานก็จะต้องเดินผ่านโถงลิฟต์มาก่อน จึงไม่ค่อยสะดวกนัก แต่ถ้าเป็นคนที่เล่น Fitness แล้วมาล้างเนื้อล้างตัวนี่โอเคอยู่ครับ

    กลับมาที่โถงลิฟต์ตรงกลางอีกครั้ง ต่อมาเราจะไปดูฝั่งด้านหน้ากันบ้างนะ

    โถงทางเดินนี้จะเป็นฝ้าสูงแบบ Double Volume ซึ่งด้านบนทำเป็นหลังคาโปร่งแสง เพื่อให้ได้รับแสงสว่างและความโปร่งโล่ง รวมถึงพื้นทางเดินก็จะต่างกันด้วยครับ ซ้ายมือเป็นทางลาดที่มีราวจับ สามารถเข็นรถเข็นผ่านได้สะดวก ส่วนทางขวามือเป็นบันไดครับ

    จุดที่ผมเลือกเดินออกมาจะเป็นทางซ้ายนะครับ ซึ่งพอเราออกมาก็จะเจอสระว่ายน้ำ 2 สระ ด้านซ้ายเป็นสระเด็ก หรือจะใช้เป็นพื้นที่นั่งแช่น้ำชมวิวเล่นๆก็ได้ เพราะในตัวสระจะมีที่นั่งอยู่ด้วยครับ และตึกที่เห็นอยู่เยื้องๆกันคือ The Park Chidlom นั่นเอง

    ส่วนทางขวามือจะเป็นสระว่ายน้ำที่สามารถว่ายน้ำออกกำลังกายได้อย่างจริงจัง แล้วยัง Take View ฝั่งเพลินจิต และมองเห็นห้าง Central Embassy ได้ด้วย

    ระเบียงทางเดินริมสระขวามือจะมีพื้นที่นั่งเล่น ซึ่งทำเป็นเบาะขนาดใหญ่ และแบ่งพื้นที่ออกเป็นล็อคๆ เพื่อความเป็นส่วนตัวครับ

    และนี่คือวิวชั้น 18 ที่เรามองออกไป ปัจจุบันก็ยังมีช่องว่างที่ได้วิวเปิดโล่งอยู่นะครับ

    เหนือชั้น Main Facilities ของอาคารนี้ขึ้นไป ก็ยังมีชั้นพักอาศัยอีก 2 ชั้นครับ ซึ่งที่ชั้น 19 และ 20 จะมีห้อง Type พิเศษ 2 Bedrooms ที่เป็นหน้ากว้าง 4 ยูนิต โดยที่ชั้น 20 จะมีพื้นที่ระเบียงเล็กๆเพิ่มเข้ามา ทำให้มีพื้นที่ใช้สอยรวมใหญ่กว่าชั้น 19 นิดหน่อย

    กลับลงมาที่หน้า Lobby แล้วครับ ซึ่งก่อนที่เราจะไปดูอีกหนึ่งอาคาร ผมจะพาแวะมาดู Sunken Court ที่อยู่ตรงกลางกันก่อนนะ

    ขวามือจะมีพื้นที่นั่งเล่นพักผ่อนอยู่ครับ มีร่มคันใหญ่กางไว้ให้ด้วย นั่งได้จริงไม่ร้อนนะ

    ส่วน Sunken Court ตรงกลางจะเป็นพื้นหินอ่อนที่เรียงต่อกันเป็นขั้นบันได และมีพื้นที่ขนาดใหญ่ให้นั่งเล่นกันได้แบบสุ่ม ตรงร่องข้างๆทางเดินและต้นไม้ จะมีธารน้ำเล็กๆไหลผ่าน ซึ่งในวันที่ผมไปเดินดูของจริงนับว่าบรรยากาศดีเลยทีเดียวครับ มีเสียงน้ำไหลเป็นธรรมชาติดี แต่ต้องเดินกันอย่างระมัดระวังหน่อยนะ

    และด้านล่างสุดของสวนนี้จะเป็นกำแพงหินอ่อน Spider Green ที่ดีไซน์เป็น Wall feature รูปน้ำตก และมีน้ำไหลผ่านลงมา ทำให้บริเวณนี้ได้บรรยากาศธรรมชาติ และมีเสียงน้ำไหล เพลินดีเหมือนกัน

    คราวนี้เราจะไปดูตึก The Tower กันบ้างครับ ซึ่งเราสามารถเดินเชื่อมกันได้จาก Cover Walk Way ซึ่งมีหลังคาคลุมแบบนี้ได้ หรือถ้าวันไหนอากาศดีๆก็สามารถเดินผ่านสวนเมื่อสักครู่นี้ได้เหมือนกันครับ

    มาถึงหน้าทางเข้า Lobby แล้วนะ ซึ่งด้านบนจะมีหลังคากันสาดคลุมให้ค่อนข้างใหญ่ ไม่ต้องกลัวแดดกลัวฝนเลยครับ และประตูทางเข้า Lobby ของทั้ง 2 อาคาร ยังเป็นแบบเปิดอัตโนมัติอีกด้วย

    เมื่อเข้ามาภายในก็จะเจอกับเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์เช่นเดิม แต่จะสังเกตได้ว่าโทนสีการตกแต่งจะเปลี่ยนไป กลายเป็นสีเข้มที่ดูดิบเท่มากขึ้น

    ซ้ายมือเป็นชุดโซฟารับแขกขนาดใหญ่ครับ เวลามีแขกมาหาก็สามารถให้เค้านั่งรอตรงนี้ก่อนได้

    ซึ่งโซฟานี้จะหันหน้ามองออกไปยังสวนที่อยู่ตรงกลางแบบนี้เลยครับ

    ส่วนอีกด้านของ Lobby จะเป็นพื้นที่นั่งคอย สำหรับคนที่จอดรถด้วยระบบ Auto Parking ครับ

    ที่ผนังจะมีที่ให้เราติ๊กบัตร และจอมอนิเตอร์แสดงสถานะของรถให้เรารู้ครับ ว่าจะต้องใช้เวลารอนานกี่นาที เร็วสุดคือประมาณ 2 – 3 นาที และถ้าช้าสุดคือ 7 นาที แล้วแต่ว่ารถของเราจอดอยู่ไกลแค่ไหนนะ และพอรถเราลงมาแล้ว ระบบก็จะกลับด้านรถให้อัตโนมัติ ให้สามารถขับออกไปได้เลย

    กลับมาที่ Lobby ด้านในสุดจะมีประตูกระจก (ด้านขวา) ซึ่งต้องใช้ Key Card Access สำหรับลูกบ้านเพื่อเข้าไปยังโถงลิฟต์ครับ ส่วนซ้ายมือจะเป็นห้องน้ำนะ

    ภายในโถงลิฟต์ก็ตกแต่งค่อนข้างเรียบง่าย แต่ดูหรูหรา และปุ่มกดลิฟต์จะต่างจากของฝั่ง The Villa ครับ เพราะด้วยจำนวนชั้นที่เยอะกว่า จึงต้องใช้วิธีระบุชั้นที่ต้องการ แล้วจึงค่อยกด Enter มุมขวาล่างครับ

    ชั้น 12 เป็น Facilities แรกของอาคารนี้ครับ ซึ่งจะประกอบด้วย Stream และ Sauna และตรงกลางจะเป็น Spa Pool ให้มาแช่น้ำผ่อนคลายกันได้ ส่วนที่เหลือจะเป็นห้องงานระบบครับ

    โถงลิฟต์และโถงทางเดินของชั้นนี้จะตกแต่งด้วยกระเบื้องโมเสกสีขาว-ดำแบบนี้ ดูแปลกตาดีไปอีกแบบครับ

    เดินมาฟังก์ชันแรกที่เราจะเจอคือ ห้องน้ำครับ ซึ่งภายในก็ตกแต่งผนังเหมือนโถงทางเดินด้านนอกเลย มีทั้งอ่างล้างหน้า, โถสุขภัณฑ์ 2 ห้อง, ห้องอาบน้ำ 1 ห้อง, ห้อง Stream  และ Sauna อย่างละ 1 ห้อง

    โดยภายในห้อง Sauna ผมชอบตรงไฟมากครับ ซึ่งเค้าใช้เป็นหินอ่อนแผ่นบางๆมาเรียงต่อกัน แล้วซ่อนไฟเอาไว้ด้านหลัง ทำให้มองเห็นลวดลายของหินที่สวยๆได้ และติดกันจะเป็นห้อง Stream ที่ขนาดไม่ใหญ่มากครับ

    อันนี้บอกกันเล่นๆนะ เผื่อมีใครไม่รู้เหมือนผม คือวันนั้นผมหาที่เปิดไฟห้อง Sauna ไม่เจอ พอถามโครงการผมถึงรู้ว่ามันต้องกดที่รูปโคมไฟในจอภาพแบบนี้นี่เอง (^^”)

    ออกมาจากห้องน้ำก็จะเจอกับ Spa Pool ครับ ซึ่งรอบๆสระจะมีที่นั่งให้แช่น้ำผ่อนคลายกันได้ และที่ราวกันตกก็จะมีต้นไม้ช่วยพรางสายตา เพื่อความเป็นส่วนตัวมากกว่าเน้นชมวิวครับ

    ชั้นพักอาศัยจะเริ่มตั้งแต่ชั้น 2 – 11 และ 13 – 43 ครับ โดยแต่ละชั้นจะมีหน้าตาผังห้องที่คล้ายกัน แต่จะมีห้องทางทิศตะวันออกที่หันมาฝั่ง The Villa เท่านั้นที่จะมีผนังกระจกยื่นออกมา แล้วจะสลับกันไปเรื่อยๆในแต่ละชั้นแบบสุ่ม ซึ่งเป็นไปตาม Concept ในการออกแบบ facade อาคารเป็น Jewel – Box ที่ผมพูดถึงไปในตอนแรก ซึ่งผมขอยกชั้น 14 และ 16 มาให้ดูเป็นตัวอย่างนะครับ

    โดยอาคารนี้จะมีการออกแบบโถงทางเดินแบบ Single Corridor เหมือนกับอาคารก่อนหน้านี้เลย แต่จะมีจำนวนยูนิตต่อชั้นที่น้อยกว่าเพียง 7 ห้องเท่านั้น จึงได้ความเป็นส่วนตัวมากกว่าหน่อย แต่ห้องส่วนใหญ่ก็จะมีหน้าแคบมากกว่าด้วยเช่นกันครับ นั่นเป็นเพราะตัว The Villa ก่อนหน้านี้ เค้าเน้นขนาดพื้นที่ห้องและมีหน้ากว้าง เพื่อสื่อถึงคำว่า “บ้าน” ของ Villa นั่นเอง

    ชั้น 44 เป็น Main Facilities ของอาคารนี้ ซึ่งลูกบ้านของทั้ง 2 อาคารจะใช้งานร่วมกันได้ทั้งหมดเลยนะ หลักๆจะประกอบด้วย Sky Lab Pool, Kids Pool และ Fitness โดยคราวนี้ห้องน้ำจะอยู่ใกล้กับสระว่ายน้ำแล้วครับ แต่จะแยกออกไปเป็น 2 ฝั่งของอาคาร ซึ่งห้องน้ำชายจะอยู่ติดกับ Fitness ทำให้ผู้ชายที่มาออกกำลังกายจะใช้งานได้สะดวก แต่ถ้าเป็นผู้หญิงก็อาจต้องเดินไกลนิดนึงนะ

    ส่วนชั้น 44 M จะเป็นชั้นที่ 2 ห้อง Fitness ครับ โดยเราสามารถขึ้นมาชั้นนี้ได้จากลิฟต์ที่อยู่ใน Fitness นี้เท่านั้น ซึ่งในภายหลังทางโครงการจะเรียกพื้นที่ด้านบนนี้ว่าห้อง Yoga ครับ แต่ความจริงแล้วผมว่าอาจจะเปลี่ยนฟังก์ชันเป็นอย่างอื่นอีกได้นะ ส่วน Kids Pool ของโครงการนี้จะมีลูกเล่นนิดหน่อย คือมีชั้นลอยให้เดินขึ้นมานั่งชมวิวเล่นได้ ของจริงจะเป็นอย่างไรไปชมกันเลยครับ

    สำหรับโถงลิฟต์ของชั้นนี้จะยังคุมโทนสี ขาว-เทา-ดำ แบบ Modern เหมือนกันทั้งอาคารเลยครับ ซึ่งแต่ละชั้นจะมีการตกแต่งที่แตกต่างกันออกไป

    อย่างไฟบนเพดานด้านบนผมว่าสวยดีนะ ส่วนผนังจะเป็นหินอ่อนที่สกัดเป็นร่องๆ แบบนี้เลยครับ

    เมื่อผ่านประตูกระจกมาแล้วก็จะเจอกับโถงทางเดินแบบ Semi – Outdoor ซึ่งการตกแต่งก็จะเปลี่ยนไปอีกแล้วครับ ทำให้เวลาเดินอยู่ในโครงการนี้ค่อนข้างได้ความรู้สึกหลากหลายอารมณ์เลยทีเดียว

    ซึ่งผนังของโซนนี้เป็นหินอ่อน Spider Green เหมือนที่ชั้น Lobby และน้ำตก Sunken Court ด้านล่าง ส่วนที่พื้นข้างทางเดินเราจะเห็นว่ามีการวางระบบรางน้ำเอาไว้ด้วย เผื่อเอาไว้ป้องกันน้ำฝนสาดเข้ามาแล้วน้ำท่วมขัง หรือเวลาแม่บ้านล้างทำความสะอาดก็จะได้ระบายน้ำได้ครับ

    ส่วนประตูสีทองทางขวามือคือ Private Access Pool แบบส่วนตัว ที่สามารถเปิดออกไปได้นะครับ

    ซึ่งภายนอกประตูจะเป็นพื้นที่นั่งเล่นริมสระว่ายน้ำ ซึ่งเป็นโซฟาขนาดใหญ่เลย สามารถนั่งได้ 2 คน แยกออกเป็นล็อคๆเหมือนของตัว Villa ก่อนหน้านี้ ทำให้มีความเป็นส่วนตัว หันหน้าออกไปชมวิวได้ และลงสระจากตรงนี้ก็ได้ เพราะด้านล่างมีบันไดอยู่ด้วยนะ

    จากโถงทางเดินตรงกลางเมื่อกี้ ผมเดินมาทางซ้ายมือจะเจอกับ Fitness ด้านซ้าย ตรงกลางเป็นห้องน้ำชาย และขวามือเป็นทางออกไปสระว่ายน้ำ ซึ่งผมจะพาไปดูสระกันต่อให้เสร็จก่อนดีกว่าครับ

    เมื่อออกมาภายนอกจะมีพื้นที่โต๊ะนั่งเล่นอยู่ 1 ชุด และมีบันไดให้เดินลงสระได้เลย เพราะโครงการนี้ไม่มีพื้นที่ Day Bed ให้นอนริมสระแบบปกติเหมือนโครงการอื่น แต่จะนั่งที่เบาะเมื่อสักครู่นี้แทนครับ

    ด้านซ้ายเป็นสระเด็ก หรือผู้ใหญ่จะมานั่งแช่น้ำเล่นตรงนี้ก็ได้ ซึ่งจะมีอยู่ทั้ง 2 ฝั่งของอาคารเลยครับ

    ส่วนขวามือจะเป็นสระว่ายน้ำหลักที่สามารถว่ายน้ำออกกำลังกายจริงจังได้ ขนาดประมาณ 6.8 x 20 m. ว่ายน้ำไปชมวิวไปได้ด้วยครับ

    ขวามือเป็นพื้นที่นั่งเล่นริมสระที่เราไปดูกันตอนแรก มีการปลูกต้นไม้เพิ่มความสดชื่นได้ดี แต่ที่อยากให้สังเกตคือห้องชั้นบน คือเค้าจะมีระเบียงขนาดใหญ่ สามารถมองลงมาเพื่อชมวิวสระว่ายน้ำจากห้องของตัวเองได้เลย

    กลับเข้ามาด้านในอีกครั้ง ต่อไปเราจะเข้ามาใน Fitness กันบ้าง ซึ่งขนาดพื้นที่ชั้นนี้จะไม่ได้ใหญ่เท่ากับของ The Villa ก่อนหน้านี้นะครับ แต่เค้าจะมีลิฟต์ให้ขึ้น-ลงได้ถึง 2 ชั้น กลายเป็น 2 – Storey Fitness ซึ่งลิฟต์ตัวนี้จะเข้าได้ทั้งจากด้านนอกโถงทางเดินก็ได้ หรือจากด้านใน Fitness ก็ได้ครับ และอีกหนึ่งข้อดีต่างจากของฝั่ง The Villa ก็คือ เวลาวิ่งออกกำลังกายที่ห้องนี้เราจะ Take View ได้กว้างไกลอีกด้วยครับ

    ขึ้นมาดูชั้น 2 ของ Fitness กันบ้าง ตอนนี้ยังคงเป็นพื้นที่ห้องโล่งๆ ซึ่งปัจจุบันโครงการแจ้งมาว่าจะกลายเป็นห้อง Yoga ครับ ไม่ได้มีเครื่องเล่นมาวางเพิ่มแล้ว แต่ผมว่าความจริงห้องนี้วิวค่อนข้างสวยมากเลยทีเดียว เหมาะที่จะทำ Sky Lounge ให้ขึ้นมานั่งชมวิวเล่น หรือทำงานอ่านหนังสือก็ไม่เลวครับ

    ติดกับช่องหน้าต่างจะมีพื้นที่เว้าให้มองเห็นห้อง Fitness ที่อยู่ด้านล่างได้ด้วย แต่ช่องนี้จะล้อมรอบไปด้วยกระจกเพื่อความปลอดภัย และจะมีพื้นที่อีกด้านที่เป็น Pantry ครัวเอาไว้ เผื่อในอนาคตพื้นที่นี้จะสามารถเปลี่ยนเป็นฟังก์ชันอื่นได้นั่นเอง

    จากโถงทางเดินเรามาอีกฝั่งของอาคารกันบ้างครับ ซึ่งที่สุดปลายทางเดินจะเป็นห้องน้ำหญิงนะ ด้านซ้ายเป็นทางออกไปสระว่ายน้ำ ส่วนด้านขวาเป็นสระเด็กครับ

    แวะมาดูด้านนอกสระกันสักนิด ก็จะมีลักษณะเหมือนฝั่งที่แล้วที่ผมพาไปดูเลยครับ

    และเมื่อเราเลี้ยวขวามาก็จะเจอกับสระเด็กครับ สิ่งที่แปลกคือจะมีบันไดให้เดินขึ้นไปชั้นลอยได้ทั้ง 2 ฝั่ง และตรงกลางเป็นสระน้ำที่เด็กๆสามารถชมวิวได้ด้วย

    ส่วนถ้าเราขึ้นบันไดมาด้านบนก็จะมีที่นั่งเล่นให้เราได้ขึ้นมาชมวิว หรือถ้าเป็นพ่อแม่ผู้ปกครองก็สามารถขึ้นมานั่งเฝ้าลูกๆจากด้านบนนี้ได้ แต่ถ้าผมพาลูกมาก็คงจะนั่งคอยที่ด้านล่างมากกว่าครับ เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้ช่วยเหลือทัน ด้านบนไว้ชมวิวสวยๆก็พอ

    ปิดท้ายด้วยภาพวิวด้านในโครงการกันสักเล็กน้อย ซึ่งถ้าเป็นห้องชั้นไม่สูงมาก ก็อย่างที่ผมบอกครับว่าจะได้วิวสวนที่อยู่ตรงกลาง ซึ่งภาพนี้คือห้องตัวอย่างที่ชั้น 5 นะ

    สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก

    • Ground Floor

    • Lobby แยกอาคาร
    • Sunken Court
    • Almond Court
    • Cover Walk Way

  • อาคาร The Villa
    • ชั้น 1 Reading Lounge
    • ชั้น 18 Fitness, Lab Pool, Kids Pool

  • อาคาร The Tower
    • ชั้น 12 Heated Spa Pool, Sauna & Steam
    • ชั้น 44 Sky Lab Pool ระบบเกลือ ขนาด 6.8 x 20 เมตร, Kids Pool ขนาด 7.3 x 7.65 เมตร, 2 – Storey Fitness

  • ลิฟต์โดยสาร
    • The Villa 3 ตัว/อาคาร, อัตราส่วนลิฟต์ 60.67 :  1
    • The Tower 4 ตัว/อาคาร, อัตราส่วนลิฟต์ 60.75 : 1

  • อัตราส่วนลิฟต์รวมทั้งโครงการ 60.71 :  1
  • Service Lift อาคารละ 1 ตัว
  • ที่จอดรถประมาณ 366 คันคิดเป็น 86% ไม่รวมจอดซ้อนคัน
  • ระบบ CCTV / Access Card
  • แบบห้อง

    มาถึงเรื่องแบบห้องกันแล้วนะครับ ซึ่งห้องตัวอย่างของโครงการนี้มีอยู่ด้วยกันถึง 6 Type กันเลยทีเดียวนะ เพราะว่าทั้ง 2 อาคารจะมีแบบห้องที่ต่างกันหมด และผมจะพาไปดูครบทุกห้องอย่างแน่นอนครับ แต่สำหรับรีวิวฉบับนี้ผมจะเน้นเจาะลึกอยู่แค่ 2 ห้อง ของฝั่ง The Villa  เพราะแบบห้องของ The Tower เราเคยรีวิวกันไปก่อนหน้านี้แล้วสมัยที่ยังเป็น Sale Gallery เมื่อปีที่แล้ว แต่ผมจะพาไปดูบรรยากาศของจริงแบบคร่าวๆว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งประกอบด้วย

    • แบบห้องของ The Villa

    • 1 Bedroom 37.87 ตร.ม.
    • 1 Bedroom 43.1 ตร.ม.
    • 1 Bedroom 53.66 ตร.ม.
    • 2 Bedrooms 75.38 ตร.ม.

  • แบบห้องของ The Tower
    • 1 Bedroom 46.36 ตร.ม.
    • 2 Bedroom 73.53 ตร.ม.

    โดยห้องของโครงการนี้จะขายแบบ Fully Fitted คือให้เฉพาะชุดตู้ Built in ต่างๆที่เห็นภายในห้องทั้งหมด ชุดครัว สุขภัณฑ์ในห้องน้ำ เครื่องปรับอากาศ และเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชิ้นยกเว้น TV จะเป็นอย่างไรบ้างเราไปชมกันเลยครับ

    ห้อง 1 Bedroom ขนาด 53.66 ตารางเมตร ของ The Villa เป็นห้องมุมที่มีการแบ่งพื้นที่ Common area และห้องนอนออกจากกันด้วยผนังทึบ อีกทั้งบริเวณหน้าห้องยังทำเป็นโถงทางเดิน ที่ต้องเดินเลี้ยวมาก่อนถึงจะเจอพื้นที่ภายในห้อง จึงค่อนข้างเป็นส่วนตัวสูงทีเดียวครับ พื้นที่ส่วนแรกจะเป็นครัวเปิดที่อาจไม่เหมาะจะทำอาหารจริงจังนัก แต่ก็ทำให้พื้นที่ Common area มีขนาดค่อนข้างใหญ่และโปร่งโล่ง ซึ่งจุดที่ผมชอบคือช่องแสงข้างๆโต๊ะทานอาหาร ซึ่งทำให้ภายในห้องได้แสงสว่างเพียงพอ ไม่อึดอัดเลยครับ

    ส่วนระเบียงจะไม่ได้เน้นใช้งานมากนัก จึงทำออกมาเล็กๆหน่อย เพื่อไม่ให้กินพื้นที่ใช้งานภายในห้อง แต่ก็มีพื้นที่เก็บ Condensing Unit แยกเป็นสัดส่วนดี และห้องนอนก็มีพื้นที่ใช้งานครบ ทั้งมุมอเนกประสงค์ข้างหน้าต่าง ห้อง Walk in closet และห้องน้ำ เป็นห้องที่เจ้าของห้องใช้งานและอยู่อาศัยได้สะดวกมากๆ ซึ่งถ้ามีแขกมาแล้วรับรองอยู่ภายนอกก็โอเคครับ แต่ถ้าแขกจะเข้าห้องน้ำก็ต้องเข้ามาในห้องนอนก่อน อาจขาดความเป็นส่วนตัวได้นะ ของจริงจะเป็นอย่างไรเราไปชมกันเลยครับ

    เริ่มกันที่ประตูทางเข้าหน้าห้อง จะได้เป็นไม้บานทึบแบบมีตาแมว และพื้นห้องจะยก step สูงขึ้นจากโถงทางเดิน จึงทำให้ฝุ่นไม่เข้ามาภายใน และที่ผมชอบคือป้ายบ้านเลขที่ห้อง ซึ่งผมว่ามันสวยดีนะ

    ประตูติดตั้ง Digital Door lock ของ Alpha ทำสีพิเศษเฉพาะโครงการนี้เท่านั้น รวมถึงด้านบนยังติดตั้งโช๊คมาด้วย ทำให้ประตูสามารถปิดเองเบาๆ หรือจะเปิดให้ค้างเอาไว้เพื่อขนของเข้าบ้านก็ได้ครับ

    พื้นที่ส่วนแรกของห้องคือโถงทางเดินกว้าง 1.15 m. ซึ่งเราจะยังไม่เห็นพื้นที่ส่วนอื่นๆของห้อง เพราะจะต้องเลี้ยวซ้ายด้านหน้าไปก่อน แต่ตรงผนังซ้ายมือของผมนี้จะมีตู้ Built in เพียบเลยครับ ส่วนใหญ่ก็เป็นตู้รองเท้าและตู้เก็บของ ซึ่งเราอาจหาม้านั่งตัวเล็กๆสักตัว มาวางด้านขวาหน่อยก็ได้ เวลาใส่รองเท้าจะได้นั่งใส่ได้สะดวกๆ

    และตู้แรกซ้ายมือสุดภายในจะเป็นพื้นที่วางเครื่องซักผ้าแบบฝาหน้า ขนาด 70 x 70 cm. สูง 50 cm. และไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำหรือความชื้นเลยครับ เพราะพื้นห้องด้านหน้านี้เป็นพื้นหินอ่อนนั่นเอง

    และเมื่อเราเดินเลี้ยวซ้ายมาก็จะเจอกับพื้นที่ Common area ของห้องนี้แล้วครับ ประกอบด้วยครัว พื้นที่โต๊ะทานอาหาร และห้องนั่งเล่นเชื่อมต่อกันโดยไม่มีผนังกั้น ดูแล้วจึงค่อนข้างโปร่งโล่งดี

    เรามาดูครัวกันก่อนครับ ซึ่งจะเป็นครัวเปิดแบบนี้ แต่ถ้าถามว่าจะกั้นครัวปิดได้มั๊ย ผมบอกเลยว่าได้ครับ แต่ว่าจะลำบากสักหน่อย  เพราะถ้าไม่อยากให้ควันหรือกลิ่นกระจายไปถึงหน้าห้อง ก็ต้องกั้นทั้งผนังฝั่งนี้ และตรงโถงทางเดินเมื่อสักครู่นี้ถึง 2 จุดเลยครับ แถมเวลาใช้งานห้องก็ต้องเดินผ่านประตูถึง 2 ครั้งอีกด้วย

    ผมเลยคิดว่าห้องนี้ไม่เหมาะจะกั้นครัวปิดเท่าไหร่นะ แต่บางคนอาจจะชอบก็ได้ครับ เพราะดูเป็นสัดส่วนดี และห้องทุกห้องของโครงการนี้จะใช้แอร์แบบ Conceal Type ที่จะฝังเข้าไปใต้ฝ้าเลย ซึ่งดูเนียนตาและเรียบร้อยดีครับ แต่เวลาซ่อมทีก็อาจต้องมีการเปิดฝ้าที โดยฝ้าตรงส่วนครัวจะสูง 2.7 m. และในห้องจะสูง 3 m. นะครับ

    พื้นหินอ่อนจะสิ้นสุดที่ตรงนี้ครับ ทำให้พื้นที่ทำครัวมีความกว้างอยู่ที่ 1.35 m. สามารถทำอาหารได้สะดวก และเช็ดทำความสะอาดได้ง่าย ส่วนพื้นในห้องจะเป็นพื้นไม้ Engineering Wood หนา 14 mm. ซึ่งจะเว้นระยะเดินจากเคาน์เตอร์ถึงผนังไว้ให้ 95 cm. สามารถเดินได้สะดวกครับ

    ชุดเคาน์เตอร์ครัวจะได้ตามนี้เลยครับ มีพื้นที่เก็บของค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว

    Top เคาน์เตอร์เป็นหิน Composite marble ผลิตจากหินอ่อนธรรมชาติ ที่นำมาบดอัดผสมกับส่วนอื่นๆ มีความแข็งแรงทนทานต่อสารเคมีและกรด-ด่างได้ดีครับ ด้านหลังติดตั้ง Blacksplash กระจกมาให้ สามารถเช็ดทำความสะอาดได้ง่าย มี Hob&Hood แบบ 2 หัว ของ Kuppersbusch เป็นแบบต่อท่อดูดออกไปภายนอก

    ตู้ด้านซ้ายจะ Built in ตู้เย็นของ Electrolux ซ่อนอยู่ภายในมาให้แบบนี้เลยครับ ทำให้ดูเรียบร้อยและเนียนตาดี สามารถหยิบของมาประกอบอาหารได้สะดวก และด้านบนยังเก็บของเพิ่มได้อีกด้วย

    ส่วนด้านข้างของตู้เย็นก็จะ Built ตู้เก็บของมาให้เพิ่มอีกครับ

    หมุนตัวมาทางขวามืออีกหน่อย (ฝั่งตรงข้ามกับเคาน์เตอร์ครัว) ก็จะมีตู้ Built in มาให้อีกแล้ว ติดตั้งมาให้พร้อมเตาไมโครเวฟของ Kuppersbusch ถือว่าเป็นห้องที่มีพื้นที่เก็บของเยอะมากๆเลยนะครับ สำหรับห้อง 1 Bedroom

    ส่วนเคาน์เตอร์อีกด้านของชุดครัว ก็จะเป็นอ่างล้างจานของ Teka แบบ 1 หลุม ขนาด 38 x 38 cm. ลึก 23 cm. และที่ด้านล่างเปิดออกมาก็จะมีถังขยะติดตั้งมาให้แบบนี้เลยด้วยครับ

    อย่างที่บอกไปว่านี่เป็นครัวเปิดใช่มั๊ยครับ ดังนั้นเวลาทำครัวอยู่ก็สามารถมองเห็นคนที่อยู่ในห้องได้ด้วย แต่ทีวีอยู่ขวามือทำให้ดูทีวีจากตรงนี้ไม่ได้นะครับ

    ถัดเข้ามาในห้องจะเป็นพื้นที่โต๊ะทานอาหารและห้องนั่งเล่น ซึ่งผมค่อนข้างชอบช่องแสงขวามือนี้มาก คือเค้าให้มาเป็นช่องใหญ่แบบ Full – Height สูงจากพื้นถึงฝ้าเลยนะ ห้องเลยดูสว่างและโปร่งโล่ง ไม่อึดอัดเลยครับ และทำให้โต๊ะทานอาหารตัวนี้สามารถใช้เป็นโต๊ะอเนกประสงค์ นั่งทำงานอ่านหนังสือได้ดีเลยล่ะ ส่วนทีวีก็มีระยะ 2.6 m. สามารถใช้ทีวี 46 – 50 นิ้วได้นะครับ

    แต่ถ้าใครที่ซื้อห้องตัวอย่างห้องนี้เลย เราก็จะได้เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นตามที่เห็นเลยนะครับ และรวมถึงของตกแต่งด้วยนะ ซึ่งราคาขายของห้องนี้คือ 22 ล้านบาทครับ (แค่ค่าตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์แบรนด์นำเข้าจากต่างประเทศก็เป็นหลักล้านแล้วครับ)

    ติดกันเป็นประตูกระจกบานเลื่อนครับ กรอบอลูมิเนียมสีเข้ม และใช้เป็นกระจก Insulate หนา 2 ชั้น ที่ค่อนข้างกันเสียงและลดการถ่ายเทความร้อนได้ดี ช่วยประหยัดพลังงานของแอร์ได้ครับ

    ระเบียงภายนอกมีขนาดประมาณ 2.4 x 0.6 m. ขนาดไม่ใหญ่มากเพราะไม่ใช่ระเบียงใช้งาน แต่สามารถออกมายืนสูดอากาศและชมวิวได้นะ รางของประตูค่อนข้างใหญ่ และอยู่ในระดับเดียวกับระเบียง ทำให้เดินไม่ค่อยสะดุด แต่ฝนอาจสาดโดนได้ง่าย และราวกันตกจะได้เป็นราวเหล็กครับ ส่วนอีกด้านจะมีพื้นที่เก็บ Condensing Unit แยกเอาไว้เป็นสัดส่วน จะได้ไม่บังวิวของห้องนั่งเล่นครับ

    มองย้อนกลับมาในห้อง ซึ่งต่อไปเราจะไปดูในห้องนอนทางขวามือกันบ้างครับ

    ประตูห้องนอนจะได้เป็นประตูไม้บานทึบ มีความสูงแบบ Oversize ที่ 2.7 m. ติดตั้งที่เปิดแบบก้านโยก และตัว stopper กันกระแทกด้านหลังประตูมาให้แล้วครับ

    เมื่อเข้ามาด้านในเราจะยังไม่เห็นพื้นที่ทั้งหมดในห้องนะ เพราะเตียงนอนจะอยู่ทางด้านขวา จึงทำให้เป็นส่วนตัวขึ้นมาอีกหน่อย

    เรามาดูพื้นที่เตียงนอนกันก่อนครับ โดยรอบมีขนาดพื้นที่ใช้งานแบบพอดีๆ ด้านซ้ายกว้าง 75 cm. และปลายเตียง 80 cm.

    ซึ่งถ้าใครอยากติด TV แขวนผนังก็สามารถติดได้เลยนะ เพราะเราได้เป็นผนังทึบ แล้วยังมีระยะกว้างมากพอที่จะเดินผ่านได้ไม่ลำบาก

    ริมหน้าต่างจะมีพื้นที่อเนกประสงค์กว้าง 1.5 m. ซึ่งเราสามารถทำเป็นโต๊ะนั่งทำงาน หรือเอาโซฟามาวางเพื่อนั่ง/นอนอ่านหนังสือได้ครับ

    โดยช่องหน้าต่างนี้สามารถเปิดระบายอากาศได้นะครับ ซึ่งเวลาปิดนั้นจะต้องกดที่ปุ่มตรงโช๊คตรงนี้เพื่อปลดล็อคนะ ไม่งั้นจะปิดไม่ได้

    ส่วนอีกด้านของห้องจะเป็นห้องน้ำและห้อง Walk in claset ครับ

    ห้อง Walk in closet จะอยู่ขวามือนะ โดยของจริงเราจะได้เป็นประตูบานเลื่อนแบบทึบครับ แต่ถ้าใครอยากเปลี่ยนเป็นประตูกระจกแบบห้องตัวอย่างก็ดีครับ ห้องจะได้ไม่ดูอึดอัด ซึ่งเราสามารถติดตั้งได้เองหรือลองสอบถามกับทางโครงการดูอีกทีก็ได้ครับ (เผื่อเค้าเปลี่ยนให้ได้)

    ภายในจะ Built in ตู้เสื้อผ้าแบบไม่มีหน้าบานมาให้แบบนี้เลยครับ เก็บเสื้อได้ค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว คุณผู้หญิงน่าจะชอบห้องของ The Villa นะครับ ผมสังเกตตั้งแต่ตู้เก็บรองเท้าหน้าห้องแล้วว่าเก็บได้เยอะเหมือนกัน แต่ตัวเสร็จแล้วลงลิฟต์ เดินไปปากซอยเพื่อช้อปปิ้งต่อที่ Central แบบได้สบายๆเลย

    ต่อไปเป็นห้องน้ำครับ ซึ่งเราจะได้เป็นประตูกระจกฝ้าแบบนี้เลยนะ มีตัวล็อคอย่างดี ติดแถบผ้ากำมะหยี่เพื่อกันกลิ่นหรือความชื้นได้ดีเลยครับ

    ภายในห้องน้ำตกแต่งทั้งหมดด้วยหินอ่อนสีน้ำตาลแนว Earth tone ดูหรูหราทีเดียว และเราจะได้ของทั้งหมดที่เห็นภายในห้องนี้เลยครับ

    เริ่มกันที่พื้นที่ส่วนแห้งจะมีขนาด 1.65 x 1.35 m. สามารถใช้งานได้สะดวก โดยที่พื้นห้องน้ำจะลดระดับลงจากพื้นห้องเล็กน้อย แต่มีธรณีค่อนข้างกว้าง เพื่อกันน้ำกระเด็นโดนพื้นไม้ด้านนอกครับ

    สิ่งที่ได้จะประกอบด้วย กระจกเงาบานใหญ่ที่เปิดเก็บของได้ 1 บาน ติดตั้งอ่างล้างหน้าแบบฝังเคาน์เตอร์ของ Toto ขนาด 53 x 35 cm. ลึก 19 cm. มีขอบเคาน์เตอร์ให้วางของได้ มีก๊อกน้ำของ Grohe ที่สามารถผสมอุณหภูมิน้ำได้เอง เพราะใต้อ่างเค้าจะติดตั้งเครื่องทำน้ำร้อนเอาไว้ให้แล้วครับ พร้อม Built ตู้เพื่อเก็บของและปิดหน้าบานให้เรียบร้อยดี

    ซ้ายมือจะมีกระจกเงาทรงสูงอีกบานติดไว้ให้ที่ผนังแบบนี้เลยครับ เอาไว้ส่องแต่งตัวได้ ส่วนขวามือจะเป็นโถสุขภัณฑ์อัตโนมัติ (Toto Washlet) แบบแขวนผนัง ทำให้สามารถทำความสะอาดพื้นห้องน้ำได้ง่าย ส่วนผนัง low wall ด้านหลังก็เอาไว้วางของเพิ่มเติมได้นะครับ

    ต่อมาเป็น Shower box ซึ่งจะมีฉากกั้นกระจกนิระภัย Tempered Galss ติดตั้งมาให้แยกเป็นสัดส่วน ที่ขอบประตูมีแถบยางช่วยให้ประตูปิดสนิท และน้ำไม่กระเด็นออกมาด้านนอก แต่เวลาเปิดระวังประตูกระแทกกับผนังนะครับ เพราะยังไม่ได้ติด stopper มาให้ ส่วนพื้นที่อาบน้ำจะกว้าง 1 x 1 m. สามารถใช้งานได้พอดีๆ

    ภายในมีทั้ง Hand Shower และ Rain Shower บนฝ้าเพดาน ซึ่งตรงเสานั้นสามารถปรับระดับความสูง และองศาที่ต้องการได้ครับ ส่วนที่ผนังจะเจาะช่องวางสบู่มาให้แบบนี้เลยด้วย

    ห้อง 2 Bedrooms ขนาด 75.38 ตารางเมตร ของ The Villa ซึ่งเป็นห้องมุมที่หันหน้าออกมาด้านหน้าโครงการเหมือนกับห้องเมื่อกี้เลยครับ แต่ว่าจะอยู่คนละฝั่งนะ (ห้องนี้เป็นฝั่งเพชรบุรี) ภายในมีฟังก์ชันที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวมากขึ้นครับ โดยโถงหน้าห้อง ครัวเปิด และห้องนั่งเล่นติดระเบียงจะยังคงเหมือนเดิม เพิ่มเติมมาคือห้องนอนเล็ก และห้องน้ำอีก 1 ห้อง ซึ่งใช้งานร่วมกับพื้นที่ส่วนกลาง ทำให้ห้อง Type นี้สามารถรับรองแขกได้ดีมากขึ้น โดยที่ห้อง Master Bedroom จะไม่เสียความเป็นส่วนตัวเลยครับ อีกทั้งยังเป็นห้องหน้ากว้าง และมีขนาดพื้นที่ค่อนข้างใหญ่ จึงให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านอีกด้วย ของจริงจะเป็นอย่างไรเราไปชมกันเลยครับ

    เมื่อเข้ามาในห้องจะเจอกับโถงทางเดินก่อนเช่นเดิม ขวามือมีตู้รองเท้าที่ Built in ในผนังมาให้แบบนี้เลยครับ โดยหน้าบานที่เป็นกระจกเงาแบบนี้ ก็ทำให้เราสามารถส่องตรวจดูความเรียบร้อยก่อนออกจากห้องได้นะ

    และตรงสุดทางเดินก็จะมีตู้เก็บของ Built in ให้อีกชุดหนึ่งเหมือนห้องที่แล้วเลยครับ แต่จะมีขนาดใหญ่ขึ้นเล็กน้อย

    เมื่อเลี้ยวขวามาก็จะเจอกับพื้นที่ Common area ฟังก์ชันต่อเนื่องกันเหมือนเดิม แต่จะมีขนาดพื้นที่ที่ใหญ่ขึ้น ทำให้ห้องดูโปร่งโล่งมากกว่าเก่า

    พื้นที่ส่วนแรกคือครัวเปิด มีขนาดกว้าง 1.4 m. สามารถใช้งานได้สะดวกมากขึ้น ทำครัว 2 คนพร้อมกันได้สบายๆเลยครับ วัสดุพื้นและความสูงฝ้าเหมือนเดิมทุกอย่างเลยครับ

    ซึ่งตู้ต่างๆก็จะมีพื้นที่เก็บของมากขึ้น เพื่อให้เหมาะกับการอยู่อาศัยมากกว่า 1 – 2 คน โดยที่จะเพิ่มเตาอบด้านล่างมาให้ด้วย รวมถึงอ่างล้างจานจะมีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 64 x 38 cm. ลึก 23 cm. ครับ

    ฝั่งตรงข้ามเป็นตู้ Built in ซึ่งจะมีพื้นที่วางเครื่องซักผ้าอยู่ภายใน ขนาดประมาณ 90 x 70 cm. สูง 90 cm. ด้านบนเป็นตู้ไมโครเวฟเหมือนเดิมนะ

    ถัดเข้ามาด้านในห้องจะมีพื้นที่วางโต๊ะทานอาหาร ซึ่งคราวนี้สามารถวางโต๊ะแบบจริงจังได้ถึง 4 ที่นั่งเลยครับ แน่นอนว่ายังอยู่ติดกับช่องแสงขนาดใหญ่ด้านข้างเหมือนเดิม ทำให้ห้องค่อนข้างสว่างและโปร่งโล่งมากเลยทีเดียว

    ส่วนพื้นที่นั่งเล่นก็จะใหญ่ขึ้นมาอีกหน่อยครับ สามารถวางโซฟาแบบ 3 ที่นั่งตัวยาวๆได้แบบนี้เลย หรือจะใช้เป็นโซฟาตัว L ก็ได้นะ ซึ่งระยะดูทีวีคือ 2.7 m. สามารถใช้ทีวี 46 – 50 นิ้วได้ครับ

    ระเบียงมีขนาด 2.4 x 0.6 m. ไม่ใช่ระเบียงใช้งาน แต่ออกมายืนชมวิวสูดอากาศได้นะ และมีพื้นที่เก็บ Condensing Unit แยกเป็นสัดส่วนเหมือนเดิมครับ

    ผมมีวิวของห้องตัวอย่างชั้น 5 มาฝากด้วย เห็นได้ว่าแค่ระยะความสูงชั้น 5 ของห้องตัวอย่างนี้  ก็เพียงพอจะได้วิวที่เปิดโล่งแล้วครับ

    มองย้อนกลับมาในห้อง ต่อมาเราจะไปดูพื้นที่ห้องนอนกันบ้าง ซึ่งจะมีโถงทางเดินตรงกลางแยกออกไปเป็นสัดส่วน ซ้ายมือเป็นห้องนอนเล็ก ตรงกลางเป็น Master Bedroom และขวามือเป็นห้องน้ำครับ

    เริ่มกันที่ห้องน้ำก่อนนะ ภายในสิ่งที่ต่างจากห้องก่อนหน้านี้จะมีอยู่ 2 จุดครับ สิ่งแรกคืออ่างล้างหน้าจะมีขนาดเล็กลง เหลือ 44 x 32 cm. ลึก 14 cm. และโถสุขภัณฑ์จะไม่ใช่ Toto Washlet แต่จะเป็น American Standard โดยพื้นที่ส่วนแห้งจะกว้าง 1.6 x 0.95 m. และพื้นที่ส่วนเปียก 0.9 x 0.9 m. ซึ่งการที่ต้องมี Shower box นั้น ก็เพื่อให้ห้องนอนเล็กสามารถมาใช้งานได้นั่นเอง แต่จะไม่มี Rain Shower นะครับ

    ฝั่งตรงข้ามคือห้องนอนเล็ก ซึ่งภายในมีพื้นที่ใช้งานพอดีๆ เพียงแต่ช่องแสงจะมีอยู่แค่ครึ่งเดียวของผนังห้องนะครับ นั่นเป็นเพราะพื้นที่ส่วนหนึ่งจะเป็นที่เก็บ Condensing Unit ที่ระเบียงด้านนอกนั่นเองครับ แต่ถ้าไม่มีฉากกั้นนี้ที่ตกแต่งไว้ ผมก็ว่าห้องนี้มีแสงที่เพียงพออยู่นะ

    พื้นที่ใช้งานรอบเตียง ขวามือสุดเป็นพื้นที่แต่งตัวหน้าตู้เสื้อผ้ากว้าง 1 m. ปลายเตียงกว้าง 55 cm. และริมหน้าต่างเป็นพื้นที่อเนกประสงค์กว้าง 1.25 m.

    ปลายเตียงเป็นผนังทึบที่สามารถติดทีวีแขวนผนังเพิ่มได้ ส่วนด้านขวาของเตียงเป็นตู้เสื้อผ้าครับ

    ตู้นี้ทางโครงการจะ Built in มาให้แบบนี้เลยครับ หน้าบานเป็นแบบทึบ แต่ด้านข้างจะติดกระจกเงาให้ส่องแต่งตัวได้ และพื้นที่ในตู้ก็แขวนเสื้อได้เยอะ เพียงพอสำหรับ 1 คนสบายๆ

    สุดท้ายคือห้อง Master Bedroom ครับ ซึ่งมีขนาดพื้นที่ค่อนข้างกว้างทีเดียว และได้ช่องแสงขนาดใหญ่เต็มผนังเลยครับ

    ซึ่งถ้าใครที่ซื้อห้องตัวอย่างนี้ก็จะได้เฟอร์นิเจอร์ และของตกแต่งที่เห็นทั้งหมดในห้องไปเลยครับ อย่างเช่น ลวดลายบนผนัง ที่เค้าตั้งใจติดไข่มุกที่ละเม็ดเลยครับ (แต่ไม่ใช่ของจริงนะ) เห็นหลายๆคนที่มาดูห้องนี้แล้วชอบกันมาก โดยราคาขายของห้องนี้คือ 26.5 ล้านบาทครับ

    ปลายเตียงมีระยะเหลือ 1.1 m. สามารถทำชั้นวางทีวีแบบจริงๆจังๆ เผื่อไว้วางของได้เลยครับ

    และติดกับหน้าต่างก็จะมีพื้นที่กว้าง 1.4 m. ซึ่งเราสามารถทำเป็นมุมอเนกประสงค์ตาม Lifestyle เราได้ เช่น หาโซฟาเจ๋งๆสักตัวมาวางริมหน้าต่าง ไว้นั่งดูทีวีก็ได้ ชมวิวก็ดี หรืออ่านหนังสือเล่นในวันหยุดก็ไม่เลวครับ

    ส่วนอีกด้านของห้องจะเป็นห้องน้ำและพื้นที่แต่งตัวครับ

    ด้านซ้ายจะมีตู้เสื้อผ้า Built in มาให้แบบนี้เลยนะ สามารถเก็บของได้ค่อนข้างเยอะ เพียงพอต่อการอยู่อาศัย 1 – 2 คนสบายๆ และที่หน้าบานก็เป็นกระจกเงาด้วย สามารถส่องแต่งตัวได้เลย ส่วนขวามือจะเป็นห้องน้ำนะ

    ภายในห้องน้ำจะมีพื้นที่ใช้งานส่วนแห้งเป็นรูปตัว L ครับ กว้างประมาณ 0.95 – 1.35 m. สามารถใช้งานได้สบายๆ โดยที่สุขภัณฑ์ต่างๆในห้องจะได้แบบอัพเกรดขึ้นเหมือนกับห้องตัวอย่างแรกที่เราไปดูกันมาครับ

    ด้านในมี Shower box ขนาดประมาณ 95 x 95 cm. กั้นฉากกั้นกระจกนิรภัย Tempered Glass มาให้เป็นสัดส่วน โดยที่ด้านซ้ายมือก็จะติดกระจกเงามาให้ส่องแต่งตัวได้แบบนี้ ส่วนภายในก็มีทั้ง Hand Shower และ Rain Shower มาให้เหมือนเดิมครับ

    และหน้าตาของสวิตซ์ไฟภายในห้องจะเป็นของยี่ห้อ Schneider สีเงินสไตล์ Modern แบบนี้ ครับ

    ห้อง 1 Bedroom ขนาด 37.87 ตารางเมตร ของ The Villa เป็นห้อง size เล็กสุดในบรรดา Luxury Condominium Collection 3 โครงการของ SC Asset ทำให้เป็นห้องที่ราคาหยิบจับได้ง่ายสุดในโครงการ และเป็นห้องที่หันหน้าออกด้านข้าง ซึ่งฝั่งเพชรบุรีจะได้วิวเปิดโล่งค่อนข้างดีครับ ภายในมีประตูบานเลื่อนที่สามารถปรับฟังก์ชันห้องได้ตามต้องการ โดยถ้าเราอยากได้ห้องกว้างๆ ก็สามารถเปิดให้เชื่อมต่อกันได้ แต่ถ้าอยากได้ความเป็นส่วนตัว หรือจะนอนตอนกลางคืนก็สามารถกั้นปิดได้ครับ ส่วนตรงครัวคราวนี้ถ้าเรากั้นเป็นครัวปิดก็จะต้องเสียพื้นโต๊ะทานอาหารไปครับ อาจทำให้ต้องนั่งทานที่โซฟาแทน ดังนั้นปล่อยเอาไว้โล่งๆแบบนี้ผมว่าโอเคแล้ว ของจริงจะเป็นอย่างไรบ้างผมมีภาพตัวอย่างมาฝากด้วยครับ

    เมื่อเข้ามาในห้องก็จะเจอกับ Common area ซึ่งพอห้องนี้เป็นห้องหน้ากว้างและตื้น จึงทำให้รู้สึกว่าห้องนี้ค่อนข้างสว่างมากๆ เพราะได้แสงธรรมชาติแบบเต็มๆ

    พื้นที่ส่วนแรกเป็นครัวและโต๊ะทานอาหาร ซึ่งจะได้ชุด Built in ทั้งหมดตามนี้ ยกเว้นเฟอร์นิเจอร์ลอยตัวครับ

    ถัดเข้ามาในห้องจะพบว่า เมื่อเราเปิดประตูให้พื้นที่เชื่อมต่อกันแล้ว ห้องจะดูกว้างดีเลยครับ อีกอย่างคือห้องตัวอย่างนี้ขายจริงพร้อมเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งทั้งหมดด้วย ราคาอยู่ที่ 13.5 ล้านบาท แต่ถ้าเป็นห้องมาตรฐานเราจะได้เป็นห้องเปล่านะครับ

    และเมื่อเราเลื่อนประตูมาปิด ก็จะทำให้ฟังก์ชันทั้ง 2 แยกออกจากกันโดยสมบูรณ์ และห้องนอนก็จะได้ความเป็นส่วนตัวไปแบบเต็มๆครับ

    ภายในห้องนอนมีขนาดพื้นที่ใช้สอยค่อนข้างกว้าง สามารถใช้งานได้สะดวกครับ มีพื้นที่อเนกประสงค์ริมหน้าต่างที่เหมาะจะวางโต๊ะอ่านหนังสือได้นะ

    ส่วนอีกด้านจะเป็นตู้เสื้อผ้าและห้องน้ำครับ ซึ่งจะได้ทุกอย่างเหมือนกับห้องอื่นๆเลย

    แถมอีกมุมหนึ่งจากเตียง ว่าเราพอจะนอนมองดูทีวีด้านนอกได้อยู่นะครับ แต่อาจต้องใช้จอที่ใหญ่กว่านี้อีกหน่อยจะดี

    แต่ความจริงแล้วพื้นที่ด้านหลังโซฟายังมีเหลืออีกเยอะ พอที่จะวางชั้นวางทีวีเพิ่มได้นะครับถ้าต้องการ

    ห้อง 1 Bedroom ขนาด 43.1 ตารางเมตร ของ The Villa เป็นแบบห้องมาตรฐานที่มีเยอะที่สุดในตึกนี้ และหันหน้าเข้ามายังด้านในโครงการ ที่ฝั่งตรงข้ามเป็น The Tower โดยภายในมีการแบ่งพื้นที่ Common area กับส่วนห้องนอนออกจากกันด้วยผนังทึบเป็นสัดส่วน และได้เป็นครัวเปิดเหมือนเดิม แต่ที่ต่างออกไปคือระเบียง ซึ่งจะมีขนาดเล็กลง และย้ายไปอยู่ฝั่งของห้องนอน แต่จะมีประตูเล็กๆให้เดินออกไปได้จากห้องนั่งเล่นด้านนอก จึงทำให้การวางโซฟาต้องมีการเว้นระยะทางเดินให้ประตูระเบียง ไม่สามารถวางเข้ามุมตัวใหญ่ๆไปเลยได้ ส่วนห้องนอนจะมีห้องน้ำในตัวอยู่ด้านในครับ และมีพื้นที่แต่งตัวหน้าห้องน้ำเป็นสัดส่วนค่อนข้างดีเลย เพียงแต่ช่องแสงจะมีแค่ครึ่งเดียวพอให้แสงเข้า และเปิดระบายอากาศได้พอดีเท่านั้น ห้องนี้จึงเหมาะกับคนที่ไม่เน้นชมวิวมากนัก แต่เน้นพื้นที่ใช้สอยภายในที่เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างลงตัวและใหญ่กว่าแบบห้องอื่นๆครับ ของจริงจะเป็นอย่างไรเราไปชมภาพตัวอย่างกันเลย

    เมื่อเข้ามาในห้องก็จะเจอกับ Common area ประกอบด้วยครัวเปิด โต๊ะทานอาหาร และพื้นที่นั่งเล่นด้านในสุดครับ

    โดยพื้นที่นั่งเล่นถือว่ากว้างขวางดีเลยทีเดียว สามารถใช้โซฟาชุดใหญ่ๆ หรือโซฟาตัว L ได้สบายๆ อีกทั้งยังวางโต๊ะกลางเพิ่มได้อีกด้วย

    ส่วนภายในห้องนอนก็แยกออกมาด้วยผนังทึบเป็นส่วนตัว โดยถึงแม้ตอนแรกผมจะบอกว่าช่องแสงด้านซ้ายจะเหลือเพียงครึ่งเดียว แต่เพราะเค้าให้เป็นกระจก Full – Height สูงจากพื้นถึงฝ้า จึงทำให้มีขนาดใหญ่มากพอที่จะไม่ทำให้ห้องมืดหรืออึดอัดครับ

    ส่วนอีกด้านของห้องนอนก็จะเป็นพื้นที่แต่งตัวและห้องน้ำเหมือนเดิมครับ

    ห้อง 1 Bedroom ขนาด 46.36 ตารางเมตร ของ The Tower ห้องนี้จะหันหน้าเข้ามาด้านในโครงการ ฝั่งเดียวกับ The Villa ครับ ดังนั้นคนที่ชอบฟังก์ชันของห้องนี้แล้วอยากได้วิวที่เปิดโล่ง ก็อาจต้องเลือกห้องที่สูงมากกว่าชั้นที่ 20 ขึ้นไปนะ แต่ความจริงแล้วห้องนี้มีการออกแบบด้วย Concept : Jewel – box ซึ่ง facade ของอาคารจะมีส่วนผนังกระจกยื่นออกไปด้านนอก ทำให้ช่วยเพิ่มมุมมองด้านข้างและแก้ไขปัญหาถูกบล็อควิวได้อยู่ครับ ส่วนฟังก์ชันภายในก็ยังคงเป็นสัดส่วน และห้องนอนก็จะได้ความเป็นส่วนตัวแยกออกไปเหมือนเดิมครับ คล้ายกับห้องเมื่อกี้ของ The Villa เลยนะ แค่ห้องouhเป็นตอนลึกและยาวมากขึ้นมาอีกหน่อยเท่านั้นเอง ของจริงจะเป็นอย่างไรเราลองไปดูกันครับ

    เมื่อเข้ามาภายในเราก็จะเจอกับครัวและพื้นที่ห้องนั่งเล่นด้านในสุด โดยช่องหน้าต่างจะมีแสงส่องมาถึงหน้าห้องนี้ ทำให้สว่างและไม่อึดอัดครับ

    โดยครัวนี้มีระยะพอที่จะกั้นเป็นครัวปิดได้นะ แต่อาจต้องกินพื้นที่มาจนถึงประตูห้องนอนด้วย ซึ่งผมมองว่าปล่อยไว้โล่งๆแบบนี้ดีแล้วครับ อีกอย่างคือความสูงพื้นถึงฝ้าของ The Tower จะสูงมากกว่า The Villa อยู่ที่ 3.1 m. และครัว 2.8 m. ครับ

    ส่วนด้านในห้องจะเป็นพื้นที่นั่งเล่นแบบนี้ มีกระจกเข้ามุมแบบ Bay Window ซึ่งตอนนี้ยังปิดม่านไว้อยู่นะ แต่เดี๋ยวผมจะไปเปิดให้ดูกันว่าจะเป็นยังไง

    นี่คือสิ่งที่ผมบอกไปในช่วงแปลน คือการที่ผนังเป็นกระจกและยื่นออกมานอกอาคารแบบนี้ จะช่วยเพิ่มมุมมองด้านข้างให้กับตัวห้อง และได้รับวิวที่เปิดโล่งมากขึ้นได้ แต่ถ้าใครที่อยากมองตรงๆแล้วได้วิวกว้างๆเลย ก็จะต้องเลือกห้องที่อยู่สูงกว่า The Villa นะครับ แน่นอนว่าราคาก็จะสูงตามไปด้วยเช่นกันนะ

    ส่วนภายในห้องนอนก็มีพื้นที่ใช้สอยค่อนข้างสะดวกเลย มีช่องหน้าต่างขนาดใหญ่เต็มผนัง ซึ่งด้านนอกจะเป็นระเบียงเล็กๆที่มีประตูทางเข้าจากห้องนั่งเล่นเมื่อกี้ครับ

    ส่วนอีกด้านจะเป็นพื้นที่แต่งตัวและห้องน้ำในตัวเหมือนเดิมนะ

    สำหรับฟังก์ชันภายในห้องน้ำของ The Tower จะเหมือนกับของ The Viila ทุกอย่าง ยกเว้นโทนสีของวัสดุที่จะแตกต่างกันครับ

    ซึ่งสีที่ต่างกันจะมีอยู่ 2 จุดนะ คือตรงส่วนครัวและในห้องน้ำ สังเกตง่ายๆคือสีของหินอ่อน ซึ่งตัว The Villa ก่อนหน้านี้จะเน้นเป็นหินอ่อนสีน้ำตาล – Laurent brown และสีครีม – Gorlia beige ที่ค่อนข้างดูอบอุ่น แต่ถ้าเป็นฝั่งของ The Tower จะเป็นหินอ่อนสี Black Emperador และสี Grey emperador ซึ่งค่อนข้างดู Modern มากกว่าครับ

    ห้อง 2 Bedrooms ขนาด 73.53 ตารางเมตร ของ The Tower เป็นห้องมุมที่มีลักษณะคล้ายๆกับฝั่งของ The Villa เลยครับ โดยห้องนี้จะเน้นพื้นที่ช่องแสงค่อนข้างเยอะ เหมาะกับคนที่ชอบชมวิวและต้องการห้องที่สว่างและโปร่งโล่ง ซึ่งห้องนอนทั้ง 2 ก็จะกั้นด้วยผนังทึบแยกออกไปเป็นส่วนตัว มีห้องน้ำ 2 ห้องไม่ต้องแย่งกันใช้ และพื้นที่ห้องค่อนข้างใหญ่ ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน ของจริงจะเป็นอย่างไรเราไปชมกันครับ

    เมื่อเข้ามาในห้องก็จะเจอกับโถงทางเดิน และมองเห็นส่วนครัวก่อนเป็นอันดับแรก แต่จะไม่เห็นพื้นที่ด้านในห้องนะครับ จึงทำให้คนด้านในมีความเป็นส่วนตัวอยู่นะ

    พื้นที่ส่วนแรกเป็นครัวเปิด และอยู่ติดกับโต๊ะทานอาหาร ซึ่งมีพื้นที่มากพอที่จะวางโต๊ะแบบ 4 ที่นั่งได้เลย

    ด้านในเป็นพื้นที่นั่งเล่นซึ่งอยู่ติดกับระเบียง และมีช่องแสงขนาดใหญ่อยู่หลังโซฟา ซึ่งถ้ายังจำกันได้ ของ The Villa ช่องแสงนี้จะอยู่ตรงโต๊ะทานอาหารใช่มั๊ยครับ แต่พอเลื่อนไปอยู่ติดกับระเบียงแล้ว ทำให้กลายเป็นช่องแสงรูปตัว L เชื่อมต่อกันขนาดใหญ่ ห้องดูห้องกว้างมากขึ้นเยอะเลยครับ

    ห้องตัวอย่างนี้อยู่ตรงมุมฝั่งเพชรบุรีครับ ซึ่งปัจจุบันจะยังได้วิวที่เปิดโล่งแบบนี้เลย แต่ในอนาคตที่ดินแปลงหัวมุมข้างๆนี้จะมีโรงแรมสูง 23 ชั้นเกิดขึ้นครับ ซึ่งถ้าใครที่เป็นคนชอบวิวก็อาจต้องเลือกชั้นสูงๆหน่อยนะ

    มองย้อนกลับไปในห้อง ซึ่งส่วนของห้องน้ำและห้องนอนจะมีโถงทางเดินแยกออกไปด้านซ้ายเป็นสัดส่วน

    ห้องแรกซ้ายมือคือ ห้องนอนเล็กครับ ซึ่งได้ช่องแสงขนาดใหญ่ สามารถนอนชมวิวได้เต็มที่ ส่วนฝั่งตรงข้ามของห้องนอนนี้จะเป็นห้องน้ำที่มี Shower box ในตัว ใช้งานร่วมกับส่วนกลางครับ

    ส่วนห้องตรงกลางด้านในสุดจะเป็น Master Bedroom ซึ่งภายในมีพื้นที่ค่อนข้างกว้างขวางเลยทีเดียว

    และอีกด้านของห้องก็จะเป็นพื้นที่แต่งตัวและมีห้องน้ำในตัวครับ

    **รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะครับ

    ราคา

    ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 24 September 2019

    • The Villa

    • 1 Bedroom 38.69 ตร.ม.

    • ราคา 12.5 ล้านบาท (โปรโมชั่น)
    • ห้องตัวอย่างชั้น 5 ราคา 14.83 ล้านบาท (ขายพร้อมตกแต่ง)

  • 1 Bedroom 43.62 ตร.ม.
    • ห้องตัวอย่างชั้น 5 ราคา 16.98 ล้านบาท (ขายพร้อมตกแต่ง)

  • 1 Bedroom 43.73 ตร.ม.
    • ห้องตัวอย่างชั้น 5 ราคา 17.3 ล้านบาท (ขายพร้อมตกแต่ง)

  • 1 Bedroom 45.03 ตร.ม.
    • ราคาขายปกติ 17.17 ล้านบาท

  • 1 Bedroom 46.12 ตร.ม.
    • ห้องตัวอย่างชั้น 5 ราคา 18 ล้านบาท (ขายพร้อมตกแต่ง)

  • 1 Bedroom 54.50 ตร.ม.
    • ราคาปกติ 21.5 – 22 ล้านบาท
    • ห้องตัวอย่างชั้น 5 ราคา 19.5 ล้านบาท (ขายพร้อมตกแต่ง)

  • 2 Bedroom 75.38 ตร.ม. ราคาโปรโมชั่นเริ่มต้น 26.5 ล้านบาท
    • ราคา 29.5 ล้านบาท
    • ห้องตัวอย่างชั้น 5 ราคา 26.5 ล้านบาท (ขายพร้อมตกแต่ง)

  • The Tower
    • 2 Bedroom 75 ตร.ม.

    • ราคาโปรโมชั่นเริ่มต้น 22.9 ล้านบาท

    • รูปแบบการขาย Fully Fitted
    • ความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดาน 3 – 3.1 เมตร
    • Kitchen & Sink / ท็อปหินสังเคราะห์
    • Hob & Hood / ของยี่ห้อ Kuppersbusch
    • ค่ากองทุน 1,000 บาท/ตร.ม.
    • ค่าส่วนกลาง 100 บาท/ตร.ม./เดือน

    **ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ครับ

    บทสรุป

    ทำเล : โครงการ 28 Chidlom ตั้งอยู่ติดถนนชิดลม ซึ่งถือได้ว่าเป็นย่านใจกลางเมืองที่อุดมสมบูรณ์มากครับ ในระยะเดินใกล้ๆก็จะมีเซเว่นที่อยู่ฝั่งเดียวกัน หรือถ้าเป็นฝั่งตรงข้ามโครงการก็มี Community mall ชื่อ 19 At Chidlom ที่มีทั้ง MaxValu และ Starbucks อยู่ด้วยครับ เดินไปปากซอยก็จะเป็นห้าง Central ชิดลม หรือถ้าใครขยันเดินหน่อยก็จะมีห้างในพื้นที่นี้อีกเยอะเลยครับ ทั้ง Central Embassy, Big C, The Market Bangkok, Central World และ Siam Paragon รวมถึงมีอาคารสำนักงานในย่านนี้อยู่เยอะพอสมควร แต่ด้วยทำเลในเมืองแบบนี้ต้องยอมรับอย่างหนึ่งครับว่าตัวโครงการอาจถูกอาคารสูงของเพื่อนบ้านที่อยู่โดยรอบบังวิวอยู่บ้าง (ไม่นับโครงการเดียวกัน) เพื่อแลกกับความสะดวกสบายที่อยู่โดยรอบ แต่ปัจจุบันก็ยังพอจะมีพื้นที่เปิดโล่งให้ได้ชมวิวอยู่นะครับ

    การเดินทางโดยใช้รถ : เนื่องจากถนนชิดลมเป็น one way ขาเข้ามาจากฝั่งเพชรบุรีมายังถนนเพลิตจิต ดังนั้นจึงเป็นทำเลที่เดินทางเข้าเมืองไปทางสยามได้ง่ายมากๆครับ แต่ถ้าจะขึ้นทางด่วนก็อาจต้องอ้อมไปทางราชดำริ เพื่อย้อนกลับไปขึ้นที่ถนนเพชรบุรีนะ ส่วนขากลับถ้าใครที่มาจากทางเพชรบุรีอยู่แล้ว ก็สามารถเลี้ยวเข้าถนนชิดลมกลับบ้านได้ง่ายๆเลย แต่หากใครที่มาจากทางสุขุมวิทก็สามารถพึ่งทางลัดอย่างซอยสมคิด เพื่อกลับบ้านได้โดยไม่ต้องไปเสียเวลาอ้อมที่ราชดำริอีกรอบครับ ส่วนที่จอดรถเป็นแบบ Conventional 222 คัน และ Auto Parking 144 คัน รวมแล้ว 366 คันคิดเป็น 86% แบบไม่รวมจอดซ้อนคัน ซึ่งผมมองว่าอาจน้อยไปสักหน่อยสำหรับโครงการระดับราคานี้นะครับ

    การเดินทางโดยไม่ใช้รถ : ถือเป็นจุดเด่นของโครงการนี้เลยครับ ทำเลอยู่ใกล้รถไฟฟ้า BTS ชิดลม ซึ่งถือว่าเป็นสายสุขุมวิทเส้นหลักเพียงแค่ 280 m. เท่านั้น สามารถเดินได้สบายๆ และอยู่ห่างจาก BTS สยาม เพียงแค่ 1 สถานี ซึ่งสามารถไป Interchange กับสายสีลมได้ และอยู่ห่างจาก BTS อโศก ที่ไป Interchange กับ MRT เพียง 4 สถานีเท่านั้นครับ อีกทั้งยังมีตัวเลือกในการเดินทางอื่นๆอีก อย่างวินมอไซค์ที่อยู่ห่างจากโครงการแค่ 70 m. หรือจะเป็นท่าเรือชิดลมที่อยู่ห่างเพียง 220 m. ครับ รวมถึงตัวโครงการยังตั้งอยู่ติดกับถนนชิดลม ทำให้เรียกรถสาธารณะที่ผ่านหน้าโครงการ อย่างแท็กซี่ได้ง่ายมากๆอีกด้วย

    การออกแบบโครงการ : โครงการนี้มี Concept ในการออกแบบคือ Jewel – box หมายถึงกล่องอัญมณีที่เก็บสิ่งล้ำค่าที่ซ่อนอยู่ภายใน ซึ่งนำมาใช้ตกแต่ง facade โดยการทำผนังของตัวห้องให้เป็นกล่องกระจกยื่นออกมาจากอาคารแบบสุ่ม ซึ่งเหลี่ยมมุมของกระจกนี้ก็จะสะท้อนกับแสง ทำให้เกิดประกายระยิบระยับเหมือนอัญมณี ส่วนตัวอาคารมีการแบ่งออกเป็น 2 Tower ซึ่งถ้านับยูนิตต่อชั้นของแต่ละอาคาร ฝั่ง The Villa จะมีสูงสุดที่ 11 ยูนิต/ชั้น และฝั่ง The Tower จะมีสูงสุดอยู่ที่ 7 ยูนิต/ชั้น ซึ่งถือว่าน้อยและเป็นส่วนตัวมากๆครับ รวมถึงอัตราส่วนลิฟต์ด้วยนะ จะอยู่ที่ 60.71 :  1 เท่านั้นเอง

    โดยสิ่งที่ผมชอบก็จะเป็นลักษณะของ Floor Plan ชั้นพักอาศัยครับ ซึ่งทั้ง 2 อาคารมีการวางผังเป็นรูปตัว C เหมือนกัน โดยให้โถงลิฟต์อยู่ตรงกลาง และได้เป็น Single Corridor จึงค่อนข้างเป็นส่วนตัวสูง แต่ข้อเสียคือห้องพักส่วนใหญ่จะเน้นหันหน้าเข้ามาภายในโครงการ ถึงทำให้ห้องทั้ง 2 อาคารปะทะและบังวิวกันเอง

    การออกแบบห้องพัก : โครงการนี้มีห้องหลายแบบให้เลือกเลยนะครับ แต่ถ้าจะพูดง่ายๆคือฝั่งของ The Villa จะเน้นเป็นห้องหน้ากว้าง รวมถึงโทนสีวัสดุที่เลือกใช้ก็จะให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่บ้านมากกว่า ในขณะที่ The Tower จะเป็นห้องตอนลึกมากกว่าหน่อย ใช้โทนสีขาว-เทา-ดำ ที่ดู Modern มากขึ้น และมีลูกเล่นของ facade ที่มีผนังกระจกยื่นออกมา ซึ่งช่วยในเรื่องของฟังก์ชันและมุมมองด้านข้างของห้องได้ครับ

    แล้วถ้าพูดเป็นภาพรวมผมคิดว่า แบบห้องของโครงการนี้ก็ทำออกมาได้โอเคอยู่เหมือนกันนะ คือส่วนใหญ่จะเน้นความเป็นส่วนตัว มีโถงทางเดินหน้าห้องที่ทำให้ยังไม่เห็นพื้นที่ทั้งหมดในห้อง ได้เป็นครัวเปิดไม่เน้นการทำอาหาร และทำระเบียงออกมาไม่ใหญ่มาก เพื่อให้มีพื้นใช้สอยภายในเพิ่มมากขึ้น แต่ที่ผมชอบเป็นพิเศษคือตู้เก็บของครับ คือต้องบอกเลยว่าให้มาเยอะมาก สามารถเก็บของได้เต็มที่เลยครับ รวมถึงช่องแสงด้านข้างสำหรับห้องมุม ซึ่งพอมาอยู่ตรงกลางห้องแบบนี้ จึงทำให้ห้องค่อนข้างสว่างและดูกว้างขึ้นมากเลยครับ

    วัสดุ : ขายแบบ Fully Fitted คือได้ชุดตู้ Built in ทั้งหมดภายในห้อง Digital Door lock ของ Alpha ทำสีพิเศษ มีเครื่องปรับอากาศ Conceal Type พื้นหน้าห้องเป็นหินอ่อน และพื้นในห้องเป็นพื้นไม้ Engineering Wood ได้ Top เคาน์เตอร์เป็น Composite marble มี Hob&Hood และเตาไมโครเวฟ ของ Kuppersbusch อ่างล้างจานของ Teka ตู้เย็น Built in ของ Electrolux กรอบประตูหน้าต่างอลูมิเนียม กระจก Insulate 2 ชั้น สุขภัณฑ์ในห้อง Master Bedroom เป็นของ Toto และมี Toto Washlet แบบแขวนผนัง ส่วนถ้าเป็นห้องธรรมดาจะเป็นสุขภัณฑ์ของ American Standard ติดตั้งฉากกั้นอาบน้ำกระจกนิรภัย Tempered Glass มาให้ และใช้ก๊อกน้ำของ Grohe แต่สิ่งที่คิดว่าไม่ค่อยสมกับราคาเท่าไหร่คือ ราวระเบียงที่เป็นเหล็กครับ

    สาธารณูปโภค : มีฟังก์ชันหลักๆให้ใช้งานครบ และลูกบ้านสามารถใช้งาน Facilities ร่วมกันได้ทั้ง 2 อาคารเลย ถือว่าเป็นการกระจายความหนาแน่นในการใช้งานดีนะ เริ่มจากชั้นล่างประกอบด้วย Sunken Court, Almond Court และ Reading Lounge ที่ใต้ The Villa และที่ชั้นบนของอาคารนี้จะมี Lab Pool กับ Fitness ที่ชั้น 18 ครับ เพียงแต่ห้องน้ำจะอยู่ไกลจากสระมากไปหน่อยนะ และที่ The Tower จะมี Heated Spa Pool, Sauna & Steam ที่ชั้น 13 กับ Sky Lab Pool, Kids Pool และ 2 – Storey Fitness ที่ชั้น 44 ซึ่งค่อนข้างได้วิวมุมสูงที่สวยดีเลยล่ะครับ

    Judgement

    ราคาของคอนโดนี้ถือเป็นระดับ ULTIMATE CLASS เนื่องมาจากต้นทุนค่าที่ดินในการพัฒนาโครงการค่อนข้างสูงจึงส่งผลให้ราคาขายมาอยู่ใน Class นี้ ซึ่งความคุ้มค่าด้านราคาไม่ใช่ปัจจัยหลักเพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจซื้อ ความคุ้มค่าด้านอารมณ์คือปัจจัยหลักอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งตราบเท่าที่ทางเรายังไม่สามารถวัดค่ามาตรฐานทางอารมณ์ได้ ทาง Think of Living ขอไม่ให้คะแนนฟันธงในรีวิวเจาะลึกนะครับ เพราะมีตัวเปรียบเทียบน้อย เป็นสินค้าประเภท Unique เสียส่วนใหญ่ และเราก็เชื่อว่าลูกค้าที่พร้อมจะซื้อคอนโดระดับนี้ ไม่ตัดสินง่ายๆด้วยคะแนนแน่นอน

    BOTTOM LINE

    โครงการ 28 Chidlon เหมาะกับคนที่กำลังมองหาคอนโดใจกลางเมือง ติดถนนชิดลม มีตัวเลือกในการเดินทางที่หลากหลาย และโดยรอบมีความอุดมสมบูรณ์ในระยะเดิน เน้นความเป็นส่วนตัว และห้องพักเป็นสัดส่วน มีที่เก็บของเยอะ และมี Sky Facilities ให้ใช้งาน มีงบประมาณ 12.5 ล้านบาทขึ้นไป หรือมีกำลังผ่อนประมาณ 88,000 บาท/เดือนขึ้นไป


    ติดตามพวกเราได้ที่
    Website : www.thinkofliving.com
    Twitter : www.twitter.com/thinkofliving
    YouTube : www.youtube.com/ThinkofLiving
    Instagram : www.instagram.com/thinkofliving
    Facebook : ThinkofLiving