รีวิวฉบับที่ 1900 … ถนนหลังสวน-ชิดลม ถือเป็นทำเลใจกลาง CBD อย่างแท้จริง และมีที่ดินราคาแพงมากที่สุดในประเทศ ซึ่งยากมากนะครับที่จะมีโครงการคอนโดมิเนียมเกิดขึ้นในทำเลแบบนี้ แต่วันนี้มีอยู่หนึ่งโครงการที่ชื่อ SCOPE หลังสวน เป็นคอนโดมิเนียมหรูที่อยู่ใกล้ปากซอยถนนหลังสวนมากที่สุด ใกล้ BTS ชิดลม 140 m. และมีความเป็นส่วนตัวสูง และมีพื้นที่ส่วนกลางให้มาเยอะ รวมถึงได้วัสดุภายในห้องค่อนข้างดี ซึ่งได้รับการออกแบบโดยดีไซน์เนอร์ระดับโลกอีกด้วย รายละเอียดจะเป็นอย่างไรลองไปรับชมกันเลยครับ

ข้อมูลโครงการ

Fact @ 2 July 2019

  • SCOPE Langsuan (สโคป หลังสวน)
  • บริษัท สโคป จำกัด
  • ULTIMATE CLASS (อ่านรายละเอียดของ Segment คอนโดได้ที่นี่)
  • โครงการตั้งอยู่ : ถนน หลังสวน เขต ปทุมวัน
  • ที่ดินประมาณ 2-0-80 ไร่
  • คอนโด High Rise 34 ชั้น 1 อาคาร 158 ยูนิต และร้านค้า 1 ยูนิต
  • ยูนิตต่อชั้นสูงสุด 6 ยูนิต
  • ที่จอดรถประมาณ 213 คัน คิดเป็น 146%
  • เริ่มก่อสร้าง :  ปี 2562
  • คาดว่าจะแล้วเสร็จ : ปี 2566
  • 1 Bedroom 83 – 84 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 38 ล้านบาท
  • 2 Bedrooms 153 – 162 ตร.ม.
  • 3 Bedrooms 240 ตร.ม.
  • Penthouse 419 – 443 ตร.ม.
  • ฝ้าเพดานสูง 3.5 เมตร
  • ราคาห้องเริ่มต้น 38 – 250 ล้านบาท  หรือ เริ่มต้นที่ประมาณ 457,831 บาท/ตร.ม.
  • ราคาเฉลี่ยทั้งโครงการ AVERAGE ประมาณ 490,000 บาท/ตร.ม.
  • ช่วงราคาต่อตารางเมตร ต่ำสุด – สูงสุดประมาณ n/a บาท/ตร.ม.
  • EIA (การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม) : ผ่านแล้ว
  • เวปไซต์โครงการ : คลิกที่นี่
  • โทร  : 020301999

 

ทำเลที่ตั้ง

พิกัด Google Maps : 13.742516, 100.543757
หรือสามารถ :  คลิกที่นี่

แผนที่จากทางโครงการ

โครงการ SCOPE หลังสวน ตั้งอยู่ในถนนหลังสวน ซึ่งถือเป็นทำเลใจกลาง CBD โดยถนนเส้นนี้เป็นถนน one way ซึ่งแตกต่างจากถนนเส้นอื่นๆในย่านนี้ ทำให้มีความเงียบสงบและเป็นส่วนตัวค่อนข้างมาก แต่ก็ไม่ใช่ซอยตันนะครับ เพราะสามารถไปทะลุถนนสารสินด้านหลังเพื่อไปออกถนนราชดำริ หรือถนนวิทยุก็ได้ ซึ่งตรงจุดนี้เองทำให้คนที่ใช้รถยนต์ส่วนตัวค่อนข้างสะดวก เพราะสามารถไปขึ้นทางพิเศษเฉลิมมหานครที่พระราม 4 หรือจะไปสีลม – สาทร ก็ไม่ยากครับ แต่ถ้าใครต้องการจะเข้าเมืองไปทางสยาม – ราชเทวี ก็มีถนนและซอยเพื่อนบ้านอย่าง ซอยต้นสน ให้ใช้เพื่อกลับไปที่ถนนเพลินจิตได้ครับ ส่วนการเดินทางด้วยรถสาธารณะก็สะดวกไม่แพ้กัน มีรถไฟฟ้า BTS เส้นหลักอย่าง “สายสุขุมวิท” ที่วิ่งผ่านใจกลางเมืองย่านต่างๆ ทั้งสยาม ราชเทวี เอกมัย ทองหล่อ ซึ่งเป็นการเดินทางที่เหมาะกับในกลางเมืองที่รถติดแบบนี้มากๆ เพราะจะช่วยประหยัดเวลาในการเดินทาง ให้สะดวกและรวดเร็วมากขึ้นครับ

ความอุดมสมบูรณ์จะมีอยู่ตลอดทั้งเส้นถนนเพลินจิตที่รถไฟฟ้าวิ่งผ่าน ไปจนถึงถนนสุขุมวิทเลยทีเดียวนะ สองข้างทางเต็มไปด้วยห้างสรรพสินค้าชั้นนำ และอาคารสำนักงานต่างๆมากมาย ยิ่งโซนพระราม 4 ที่เป็นคู่ขนานกันจะมี Mega Project ขนาดใหญ่เกิดขึ้นในอนาคต ก็จะช่วยทำให้ CBD ของย่านนี้ขยายใหญ่และเติบโตมากขึ้นกว่าเดิมอีกครับ ซึ่งห้างที่ใกล้ที่สุดและสามารถเดินไปถึงจากโครงการได้ไม่ยากเลยคือ Central ชิดลม หรือจะเดินไป Central World และสยาม ด้วย Skywalk ของ BTS ก็ได้ครับ ซึ่งพอมาอยู่ใจกลางเมือง ใกล้ห้างในระยะเดินได้แบบนี้แล้ว เรื่องรถติดในเมืองก็จะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป

แต่จุดที่น่าสนใจของที่ตั้งโครงการ คือตัวถนนสวนหลวงเองนี่แหละครับ ซึ่งภายในมีบรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบ เหมาะแก่การอยู่อาศัย แต่ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหารหรูๆ คาเฟ่ระดับ Hi-end และร้านนั่งดื่มนั่งชิลต่างๆ อีกเพียบ หรือจะเป็น Starbucks หลังสวน ที่เป็นบ้านไม้อายุมากกว่า 80 ปี ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน อีกทั้งยังเป็นแหล่งที่ตั้งของสถานทูตหลายแห่ง จึงมีความปลอดภัยค่อนข้างสูง และที่ท้ายซอยก็จะมีโปรเจค หลังสวน วิลเลจ ของ สินธร เรสซิเดนซ์ ที่เค้าจะมี Community mall อยู่ด้านหน้า คาดการณ์ว่าจะเป็น Market Village อีกด้วย ซึ่งก็จะทำให้ถนนเส้นนี้มีความอุดมสมบูรณ์และครบครันมากขึ้นเลยทีเดียวครับ

อย่างที่เกริ่นไปแล้วนะครับว่าถนนหลังสวนเป็น one way ซึ่งสามารถไปทะลุออกถนนสารสินที่ด้านหลังได้ หรือจะเชื่อมต่อกับซอยต้นสนที่หลังสวนซอย 1 และซอย 2 ได้ครับ โดยซอยที่ 2 นั้นเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโครงการสินธร เรสซิเดนซ์ ที่เค้าจะเปิดให้คนภายนอกได้ใช้เป็นสาธารณะประโยชน์อีกด้วยนะ

Loop การใช้ชีวิตของคนในซอยนี้สำหรับถนน one way เรียกได้ว่าไม่ได้ยากอย่างที่คิดครับ เช่น หากเราต้องการย้อนกลับไปทางถนนเพลินจิตก็สามารถใช้หลังสวนซอย 1 หรือ 2 เพื่อเชื่อมต่อไปยังซอยต้นสนได้ (เส้นสีฟ้า) และถนนสารสินด้านหลังยังสามาถเลือกที่จะเลี้ยวซ้ายหรือขวา เพื่อไปออกถนนใหญ่ก็ได้ทั้งคู่ครับ (เส้นสีแดง) โดยถ้าเราอยากเข้าเมืองก็อาจไปออกที่ถนนราชดำริเป็นหลัก แต่หากต้องการไปขึ้นทางด่วนก็คงจะได้ใช้ถนนวิทยุบ่อยๆแน่ครับ เพียงแต่ขากลับมายังโครงการจะต้องเข้าจากทางถนนเพลินจิตทางเดียวเท่านั้นนะ

จุดขึ้นทางด่วนที่ใกล้ที่สุดคือทางพิเศษเฉลิมมหานคร (ด่านพระราม 4) โดยเราสามารถใช้ถนนสารสินทางด้านหลังมาออกถนนวิทยุ ซึ่งสามารถเลี้ยวขวามาที่ถนนพระราม 4 ได้เลยครับ ระยะทางประมาณ 3.2 km. ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีเท่านั้น แค่นี้ก็ได้ขึ้นทางด่วนไปรัชดา – พระราม 9 แล้วครับ

ส่วนขาลงนั้นจะมีอยู่หลายจุดเลยนะ จะลงที่เพลินจิตฝั่งเหนือหรือฝั่งใต้ก็ได้ครับ (ซึ่งรถก็ติดพอๆกัน) แต่ถ้าเป็นแบบในภาพ (เป็นเพลินจิตฝั่งใต้) ก็จะต้องเลี้ยวซ้ายหักศอกเพื่อวิ่งเลียบทางด่วนด้านล่างย้อนกลับไปที่ถนนเพลินจิต ก็จะมายังโครงการได้สะดวกดีครับ

แต่ถ้าเราเลือกที่จะลงเพลินจิตฝั่งเหนือ ทางลงจะอยู่ถนนฝั่งตรงข้ามกับโครงการ ซึ่งถนนบริเวณช่วงนี้จะสามารถวิ่งเลนขวาเพื่อเข้าเมืองได้ด้วย แต่เราจะไม่สามารถเลี้ยวซ้ายบริเวณแยกหน้าถนนหลังสวนได้นะครับ จะต้องไปอ้อมที่ถนนเพชรบุรี หรือด้านหลัง Central ชิดลม มาก่อน เพื่อมาเข้าซอยชิดลม แล้วจึงขับตรงมายังถนนหลังสวนได้นั่นเองครับ

อีกการเดินทางที่สะดวกมากๆสำหรับทำเลนี้คือรถไฟฟ้านั่นเอง โดยสถานีที่ใกล้ที่สุดคือ BTS ชิดลม จะอยู่ห่างจากโครงการประมาณ 140 m. ซึ่งวิธีการลงจากสถานีนั้น จะมี Sky walk ให้เดินเชื่อมต่อไปยังห้าง Central World หรือสยามพารากอนจากทางซ้ายมือ ได้อีกด้วย เพียงแต่จะอยู่คนละฟากของตัวสถานีรถไฟฟ้ากับทางที่จะมาโครงการนะ (ไม่สามารถเดินผ่านสถานีได้ จะต้องลงมาที่ถนนด้านล่างก่อนตามปกติครับ)

ส่วนฝั่งขวาที่จะมาโครงการนั้นจะมีทางเชื่อมเข้าห้าง Central ชิดลม ได้โดยตรงเลยครับ และฝั่งเดียวกับโครงการเราก็สามารถเดินเชื่อมต่อเข้าทาง Mercury Tower ได้ด้วย ซึ่งภายในจะมีร้านค้าร้านอาหารให้แวะก่อนกลับบ้าน แถมยังไม่ต้องเดินตากแดดอากาศร้อนๆด้านนอกอีกด้วย ซึ่งการเดินทางในวันนี้นั้นผมก็มาทางนี้ด้วยเหมือนกัน บรรยากาศจะเป็นอย่างไรบ้าง เรามาเดินไปพร้อมๆกันครับ

เริ่มต้นกันที่รถไฟฟ้าสถานีชิดลม ให้ใช้ทางออกที่ 4 (ซึ่งก็คือทางขวามือของภาพ) ตามป้ายบอกทางไป The Mercury Ville ครับ

ระหว่างทางจะมี Skywalk ให้เดิน ซึ่งที่สุดปลายทางจะมีทางแยก โดยทางซ้ายจะเข้าสู่ห้าง Central ชิดลม ส่วนทางขวาจะไปยัง The Mercury Ville ครับ

ซึ่งก็ให้เราเลี้ยวขวามานะครับ จากภาพจะเห็นว่ามีทั้งบันไดลงไปยังถนนด้านล่างปกติ และมีทางเดินเข้าสู่อาคารได้โดยตรงอีกด้วย ซึ่งหากเป็นเวลาที่อาคารยังเปิดทำการอยู่ เราสามารถเดินผ่านเส้นทางนี้ได้เลยครับ แดดไม่ร้อนดีด้วยนะ

ภายในมีทั้งร้านอาหารมากมาย ร้านสะดวกซื้อ ร้านขายยา และร้านกาแฟ Starbucks ให้ได้แวะอุดหนุนกันก่อนกลับบ้านครับ ซึ่งเราจะต้องลงบันไดเลื่อนไปอีก 2 ชั้นครับ สบายๆ ไม่ต้องเดินลงบันไดเองให้เมื่อย และได้เดินตากแอร์เย็นๆชิลๆกันก่อนกลับบ้าน

และเมื่อลงมาที่ชั้น G แล้ว จะมีทางออกไปสู่ถนนหลังสวน 2 ทางด้วยกัน ซึ่งจะเดินออกทางปกติ (ซ้ายมือสุดในภาพแรก) ก็ได้ครับ หรือใครจะเดินผ่านร้าน Lawson ที่อยู่ด้านในก็ได้อีกเช่นกัน ซึ่งพอออกมาด้านนอกแล้วก็ให้เดินตรงเข้าไปในซอยถนนหลังสวนเรื่อยๆได้เลย

บริเวณทางเข้าของอาคาร Mercury จะมีวินมอไซค์ตั้งอยู่ด้วย อัตราค่าโดยสารก็ตามนี้เลยครับ ช่วยอำนวยความสะดวกได้มากเลย เผื่อเราอยากไปที่ไหนไม่ไกลมาก แต่ถ้าจะกลับไปที่โครงการ ด้วยระยะอีกแค่ 100 m. ก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพี่วินครับ เดินได้สบายๆเลย

ระหว่างทางก็จะมีร้านค้ามาตั้งแผงที่ข้างทาง และมีร้านสะดวกซื้ออย่างเซเว่นอยู่ด้วย ซึ่งถัดจากนี้ไปก็จะเป็นที่ตั้งโครงการแล้วครับ อยู่ตรงรั้วสีขาวๆด้านหน้านี่เอง

ปัจจุบันโครงการยังล้อมรั้วเอาไว้อยู่นะครับ ซึ่งทางเข้าของ Sale Gallery จะอยู่ทางฝั่งขวาของที่ดิน (คือต้องเดินไปจนสุดรั้วก่อนนั่นเอง) ทำเลอยู่ติดถนนหลังสวนเป็นหน้ากว้างแบบนี้เลยครับ

ที่จอดรถจะอยู่ที่ใต้อาคารนะ โดยในส่วนของทางขึ้นอาคารนั้นจะมีทั้งบันไดและลิฟต์โดยสารให้เลือกใช้ เพื่อช่วยความสะดวกให้กับลูกค้าที่มาเยี่ยมชม รวมถึงยังแบ่งพื้นที่เป็นโถงลิฟต์และส่วนรับรองแยกเป็นสัดส่วนดีอีกด้วยครับ

และเมื่อเข้ามาภายในก็จะมีโต๊ะแยกเป็น 2 ชุด พร้อมจอทีวีให้ได้นั่งพูดคุยและดูข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ซึ่งจะอยู่ตรงเคาน์เตอร์ด้านใน ส่วนโมเดลจะตั้งอยู่ทางด้านขวาของห้องแบบนี้ และแยกห้องตัวอย่างทั้ง 2 ห้องออกไปทางด้านขวามือครับ

**รูปนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้เห็นภาพรวมของโครงการแบบคร่าวๆไม่สามารถใช้อ้างอิงอย่างเป็นทางการได้นะครับ

บริบทโดยรอบโครงการส่วนมากก็จะมีอาคารสูงอยู่ทุกทิศ เพราะนี่คือใจกลาง CBD นั่นเอง แต่โชคดีตรงที่ว่าไม่ได้อยู่ในระยะประชิดมากเกินไปครับ โดยเฉพาะทิศตะวันออกและตะวันตก (ด้านหน้าและด้านหลังโครงการ) ซึ่งจะเป็นทั้งพื้นที่โรงเรียน และอาคารสูง 3 – 5 ชั้นเท่านั้น สามารถสรุปได้ดังนี้

  • ทิศเหนือ : ติดกับอาคารปิยะเพลส สูง 20 ชั้นและ Mercury Tower สูง 25 ชั้น ที่ชั้นสูงๆได้วิวเพลินจิตฝั่งเหนือ และเพชรบุรี
  • ทิศใต้ : ติดกับอาคารสูง 5 ชั้น ถัดออกไปเป็นวิวอาคารสูง 24 – 36 ชั้น
  • ทิศตะวันออก : ติดกับอพาร์ทเม้นท์สูง 3 – 5 ชั้น ฝั่งเป็นซอยต้นสน และได้วิวเมืองฝั่งเพลินจิต
  • ทิศตะวันตก : เป็นทางเข้าหลักโครงการ ติดถนนหลังสวน ฝั่งตรงข้ามถนนเป็นโรงเรียนมาแตร์ และถัดไปจะเป็นวิวเมืองฝั่งราชดำริ – สยาม

โครงการตั้งอยู่ในถนนหลังสวน ซึ่งด้านข้างจะมีอาคารสูงอยู่บ้างครับ แต่ด้านหน้าและด้านหลังโครงการจะมีพื้นที่ว่างให้ได้ชมวิวอยู่บ้างถือว่าดีเลยนะ

มาเดินดูรอบๆกันสักหน่อยนะครับ นี่คือที่ดินของโครงการที่อยู่ติดกับถนนหลังสวน

ด้านซ้ายเป็นอาคารสูง 5 ชั้น ซึ่งถัดออกไปถึงจะเป็นอาคารสูงมากกว่า 20 ชั้น ทำให้ชั้นล่างๆยังพอมีระยะสายตาให้ชมวิวได้บ้างครับ

ส่วนด้านซ้ายจะติดกับปิยะเพลส อาคารสูง 20 ชั้น ซึ่งเป็นเส้นทางที่เราเดินทางมายังโครงการนั้นเอง

และฝั่งตรงข้ามโครงการที่ผมยืนอยู่เมื่อกี้นี้ คือโรงเรียนมาแตร์ครับ ถ้ามองจากชั้นบนๆจะเห็นเป็นพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่เลยนะ ซึ่งถัดไปจะเป็นอาคารสูง 50 – 60 ชั้น ของทางฝั่งถนนราชดำริครับ

ซึ่งวิวชั้นบนที่ได้ก็จะเป็นประมาณนี้นะครับ เป็นตึกสูงฝั่งราชดำรินั่นเอง

ถัดมาผมจะพาเข้าไปดูในซอยอีกเล็กน้อยนะครับว่ามีอีกไรน่าสนใจในระยะเดินกันบ้าง ซึ่งทางขวามือตรงมุมที่ดินโครงการจะมีทางม้าลายอยู่ด้วย

โดยทางม้าลายนี้จะข้ามไปยังโรงเรียนมาแตร์ได้ ซึ่งตอนเย็นๆ เวลาเลิกเรียนจะคึกคักมากครับ เพราะน้องๆนักเรียนจะเดินออกมาทางนี้ แล้วข้ามถนนมาฝั่งเดียวกับโครงการ เพื่อแวะไปร้านสะดวกซื้อของ Mercury หรือเพื่อเดินไปขึ้น Skywalk ผ่านตัวห้าง และเข้า Centeal ชิดลม อีกด้วยครับ

ส่วนติดกับโครงการจะมี The Portico ซึ่งเป็นคอมมูนิตี้เล็กๆ ที่ภายในส่วนใหญ่จะเป็นร้านนั่งชิล และมี Lemon Farm Organic & Natural Food อีกด้วย สำหรับสายรักสุขภาพน่าจะชอบกันนะครับ

ถัดมาไม่ไกลที่อยากจะแนะนำอีกอย่างคือร้าน Starbucks หลังสวน ซึ่งภายในค่อนข้างสวยมากๆครับ ได้บรรยากาศแบบบ้านท้องถิ่นสมัยก่อนมากๆ เพราะเค้านำบ้านไม้อายุกว่า 80 ปีมาทำเป็นร้านนั่นเอง ใครผ่านมาแถวนี้อย่าลืมมาลองแวะกันได้นะ

สถานที่สำคัญใกล้เคียงต่างๆ เช่น

  • Centeal ชิดลม ~ 140 m. (ระยะเดิน)
  • Central Embassy ~ 350 m. (ระยะเดิน)
  • Gaysorn Village ~ 650 m. (ระยะเดิน)
  • Central World ~ 650 m. (ระยะเดิน)
  • สวนลุมพินี ~ 1.1 km.
  • โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ~ 1.9 km.
  • The Platinum Fashion Mall ~ 3.1 km.
  • Siam Paragon ~ 3.5 km.
  • จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ~ 3.6 km.
  • Terminal 21 Bangkok ~ 5.5 km.

รายละเอียดโครงการ

ก่อนเข้าถึงเรื่องตัวโครงการ ผมอยากจะพูดถึงที่ดินของโครงการนี้สักหน่อยนะครับ อย่างที่ทราบกันว่าที่ดินผืนนี้เป็น Freehold ที่มีการซื้อขายกันแพงที่สุดในประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2561 ที่ราคา 3.1 ล้านบาทต่อตารางวา เป็นทำเลในกลาง CBD ที่อยู่ใกล้ปากซอยหลังสวนมากที่สุด และมีบริษัท สโคป จำกัด เป็นผู้ชนะการประมูลในครั้งนั้น จึงได้นำมาพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียม และมีการจับมือร่วมทุนกับ SC ASSET อีกด้วยครับ

โดยโครงการ SCOPE หลังสวน ยังนี้เป็นโครงการแรกในประเทศไทยที่ได้รับการออกแบบภายในและการเลือกใช้วัสดุจากคุณ ” Thomas Juul-Hansen” (โทมัส ยูล-ฮันเซน) อีกด้วย เป็นดีไซน์เนอร์ชาวเดนมาร์ก ที่มีชื่อเสียงจากการออกแบบอาคารที่พักอาศัยที่แพงที่สุดในนิวยอร์คชื่อ ONE57 หรือ The Billionaire Building ด้วยราคาขายที่พักอาศัยอยู่ที่ 100.5 ล้านเหรียญสหรัฐ (หรือประมาณ 3,140 ล้านบาท) ครับ

โครงการ SCOPE หลังสวน เป็นคอนโด High Rise สูง 34 ชั้น จำนวน 158 ยูนิต ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 2-8-80 ไร่ และมีที่จอดรถทั้งหมด 231 คัน หรือคิดเป็น 146% โดยทั้งหมดจะเป็นการจอดแบบ Autoparking ใต้ดิน 6 ชั้น และจะมีเพียง 5 คันเท่านั้นที่จะมีที่จอดแบบปกติบนดินอยู่ที่ด้านหลังอาคาร ส่วนชั้นพักอาศัยจะเริ่มที่ชั้น 5 – 33 โดยที่ชั้น 30 ขึ้นไปจะเป็นห้องพักแบบ Single Corridor คือจะมีห้องเพียงแค่ด้านเดียวเท่านั้น ซึ่งเป็นไปตามกฏหมายควบคุมอาคารเรื่องระยะ set back การถอยร่นมาจากถนนสำหรับอาคารสูงนั่นเองครับ ส่วนชั้น Penthouse จะมีอยู่ที่ชั้น 32 – 33 เพียงแค่ 2 ชั้นเท่านั้น ซึ่งเค้าจะได้ฝ้าเพดานสูงถึง 4 m. ด้วย จากปกติที่ชั้นอื่นๆได้สูง 3.5 m. และที่ชั้นสุดท้ายจะเป็น Sky Lounge เอาไว้ขึ้นไปชมวิวได้ครับ

Master Plan จะมีทางเข้าออกเพียงแค่ทางเดียวครับ และเดินรถภายในแบบ one way เพื่ออ้อมมาจอดที่ Auto Parking ทางด้านขวาของอาคาร เพียงแต่สำหรับโครงการนี้เราไม่จำเป็นต้องขับไปจอดเองครับ เพราะเราสามารถขับวนมาที่ Drop off ด้านหน้า Lobby เพื่อใช้บริการ house valet service ซึ่งเค้าจะมีตลอด 24 ชม. ให้ไปจอดแทนได้ และตอนจะออกจากคอนโดแล้วต้องการใช้รถก็สามารถโทรมาที่เคาน์เตอร์ด้านล่าง เพื่อให้เค้าเตรียมรถเอาไว้ให้ได้ด้วยนะ โดยพนักงานก็จะขับมาจอดรอตรง Drop off ซึ่งจะมีช่องจอดชั่วคราว 15 นาทีอยู่ 2 ช่อง แล้วยังมีบริการพนักงานยกกระเป๋า 24 ชม. อีกด้วยครับ

เข้ามาในอาคารจะเห็นว่าผมแยกฟังก์ชันออกเป็น 2 สีนะ เพื่อที่จะได้เข้าใจกันง่ายมากขึ้น โดยสีฟ้าจะเป็นฟังก์ชันที่ลูกบ้านจะได้ใช้งาน ส่วนสีส้มจะเป็นฟังก์ชันของพนักงานหรือ back of house นั่นเพราะโครงการนี้จะออกแบบกึ่งๆโรงแรมครับ มีพนักงานประจำอยู่ตลอด 24 ชม. ทั้งบริกร แม่บ้าน และคนขับรถ เค้าจึงมีทั้ง canteen และห้องพักผ่อนของพนักงานแยกเอาไว้เป็นสัดส่วน ไม่รบกวนพื้นที่ของลูกบ้าน รวมถึงแยกส่วนที่เกี่ยวข้องกับรถทั้งหมด ทั้งพื้นที่ขนของที่จะเข้า service lift จากทางด้านหลังโดยตรงได้ ช่องจอด EV Charting และมีที่ล้างรถด้วยครับ ซึ่งหาฟังก์ชันแบบนี้ได้ค่อนข้างยากสำหรับการอยู่อาศัยในคอนโดแบบนี้

ส่วนฟังก์ชันที่ลูกบ้านจะได้ใช้ก็คือ Lobby ซึ่งเป็นโถงฝ้าเพดานสูงถึง 6 m. มีห้อง Library และห้องนั่งคอยแยกออกมาเป็นส่วนตัวอีกจุดหนึ่ง เอาไว้นั่งคอยรับรถก็ได้ หรือให้แขกที่มาเยี่ยมเข้ามานั่งรอเจ้าบ้านลงลิฟต์มารับได้จากจุดนี้ก็ได้ครับ ซึ่งลิฟต์ของที่นี่เป็น Direct-Entry Passenger Lift หรือ Private Lift นั่นเอง ซึ่งเป็นลิฟต์ที่เป็นส่วนตัวมากๆนะ ปกติเราจะเห็น Private Lift ที่ประตูเปิดได้ 2 ฝั่งหน้า-หลังใช่มั๊ยครับ แต่โครงการนี้จะเปิดแค่ด้านเดียวครับ หมายความว่าจะมีคนใช้งานแค่ชั้นละ 1 ห้องต่อลิฟต์ 1 ตัวเท่านั้น และนอกจาก Service Lift ที่ไว้ขนของแล้ว ก็ยังมี Public Lift ที่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพนักงาน ช่างอาคาร หรือแม่บ้านที่จะใช้งานครับ และอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญหรือโครงการนี้เป็น Pet Friendly สามารถเลี้ยงสัตว์ได้อีกด้วยนะ ซึ่งเค้าก็จะมีกฏระเบียบต่างๆให้ปฏิบัติตาม ต้องลองสอบถามรายละเอียดกับโครงการดูอีกทีนะครับ

มาดูโมเดลของจริงกันครับ ทางเข้าโครงการจะแยกเป็นทางเข้ารถยนต์กับทางเข้าคนเดินออกจากกันอย่างเป็นสัดส่วนนะ ซึ่งจากโมเดลทางโครงการเลือกใช้รั้วเป็นรั้วเหล็กโปร่ง ทำให้มองดูแล้วไม่อึดอัดดีครับ แต่ก็มีสวนคอยช่วยพรางสายตาให้ภายในโครงการมีความเป็นส่วนตัวได้อยู่นะ และประตูทางเข้ารถยนต์นั้นก็จะมีทั้งประตูรั้วเปิดแบบนี้ และจะมีไม้กั้นกระดกแบบใช้สัญญาณ Bluetooth ที่สามารถเปิดออกอัตโนมัติได้เองเพื่อความสะดวกอีกด้วย

และเส้นทางเดินรถภายในก็จะเป็น one way รอบอาคารอย่างที่บอกไปในช่วงแปลน แต่จากโมเดลก็จะทำให้เราเห็นอีกว่าจุด Drop Off ตรงทางเข้า Lobby จะเป็นแบบใต้อาคาร ทำให้เวลาเราเดินขึ้น-ลงรถนั้น ก็จะไม่ต้องตากแดดร้อนๆ หรือตากฝนให้เปียกเลยครับ แถมยังมีบริการ house valet service ไปรับหรือจอดรถให้อีกด้วย สะดวกสบายไปอีกครับ

และสำหรับที่จอดรถ Auto Parking นั้นก็จะรองรับรถขนาดใหญ่ได้ตามไฟล์แนบเลยครับ แต่จะมีการกำหนดจำนวนที่จอดรถรองรับตามขนาดห้องพักอาศัยด้วยครับ ได้แก่

  • 1 Per One – Bedroom unit
  • 2 Per Two – Bedrooms unit
  • 3 Per Three – Bedrooms unit
  • 5 Per Penthouse unit

สวนด้านหน้าโครงการ มีขนาดพื้นที่ประมาณ 400 ตารางเมตร สามารถใช้เดินเล่นพักผ่อนได้ แต่ความจริงแล้วสวนนี้จะช่วยทำหน้าที่เป็น Buffer ให้กับโครงการ คอยกันฝุ่น มลพิษ และเสียงความวุ่นวายจากภายนอกไม่ให้เข้ามาด้านใน อีกทั้งยังช่วยพรางสายตา สร้างความเป็นส่วนตัวได้ มีบ่อน้ำและ Pavilion เล็กๆให้มาใช้งานได้ครับ

และนี่เป็นภาพบรรยากาศจำลองบริเวณ Lobby ที่ชั้น 1 ครับ ส่วนใหญ่ตกแต่งด้วยวัสดุธรรมชาติแนว Earth tone หรูหราแต่อบอุ่น และมีสไตล์เรียบๆเท่ๆแบบ Modern ส่วนฝ้าเพดานก็สูงโปร่งถึง 6 m. ดูโอ่โถงดีครับ

ขึ้นมาที่ชั้น 3 จะเป็นชั้น Facilities ทั้ง floor เลยครับ โดยจะต้องขึ้นมาจากทางลิฟต์เท่านั้นนะ หมายความว่าถ้าไม่ใช้ลูกบ้านหรือคนในโครงการ ก็จะไม่สามารถขึ้นมาวุ่นวายพื้นที่ด้านบนอาคารได้เลย จึงมีความเป็นส่วนตัวมากๆ และถ้าถามว่าแล้วชั้น 2 หายไปไหน ก็อย่างที่บอกครับว่าชั้น 1 ที่เป็น Lobby มีความสูง 6 m. ซึ่งกินพื้นที่สูงถึง 2 ชั้นรวมกัน ดังนั้นชั้นต่อมาจึงกลายเป็นชั้น 3 เลยนั่นเอง ซึ่งรวมทั้งโครงการจะมีพื้นที่ส่วนกลางกว่า 2,500 ตารางเมตรเลยทีเดียว

พื้นที่ใช้งานจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝั่งนะครับ ทางด้านหน้าโครงการจะเป็นห้อง Auditorium หรือห้องดูหนัง ซึ่งมีพื้นที่มากพอบริเวณหน้าเวที สามารถจัดเป็นการแสดงเล็กๆ หรือแสดงการนำเสนอสินค้าหรูๆแบรนด์เนมจากต่างประเทศอะไรแบบนี้ได้ครับ ซึ่งถ้าเป็นเรื่องการแสดงนั้นเค้าก็มีการเตรียมพื้นที่แต่งตัว และห้องซ้อมเปียโนเอาไว้ให้ด้วยนะ โดยห้องเปียโนก็จะมีเปียโนอยู่ห้องละ 1 หลังด้วยจริงๆ ส่วนด้านบนของห้องดูหนังจะมี Private Storges พื้นที่เก็บของให้เช่าครับ ด้านในจะเป็นตู้ล็อคเกอร์ขนาดต่างๆ ซึ่งถ้าห้องใครเก็บของไม่พอ หรือไม่อยากเก็บไว้ในห้อง ก็สามารถมาเช่าพื้นที่ส่วนนี้ได้ (มีค่าใช้จ่ายครับ) ติดกันจะมีห้องเล็กๆ เป็นห้องเก็บไวน์และห้องสูบบุหรี่หรือ sigar แยกออกต่างหากด้วยนะ และอีกด้านหนึ่งของอาคารจะเป็นโซนห้องน้ำทั้งหมดครับ ซึ่งภายในมีพื้นที่ใหญ่มากๆ มีทั้ง Stream Sauna และ Onsen แบบทั้งบ่อร้อนและบ่อเย็นในตัว (แยกชาย-หญิง) มีห้องนวดหรือห้อง Spa ให้ด้วย ซึ่งทั้งชายและหญิงจะได้เหมือนกันหมด เท่าเทียบกันเลยครับ

ภาพบรรยากาศจำลองห้อง Auditorium หรือห้องดูหนังที่เป็นขั้นบันไดเหมือนแบบโรงหนังตามห้างเลยครับ แต่โทนสีที่ใช้และบรรยากาศที่ได้จะต่างจากโรงหนังทั่วไป ซึ่งแบบนี้จะดูหรูหรากว่า และใช้โทนสีสอดคล้องกับส่วนอื่นๆของโครงการครับ แล้วจากภาพจะเห็นว่าด้านหน้ามี step เวทีอยู่ด้วย ใช้แสดงสินค้าหรือกิจกรรมต่างๆตามอัธยาศัย เหมือนที่ผมอธิบายไปแล้วก่อนหน้านี้ได้เลยครับ

ชั้นที่ 4 จะเป็น Facilities แนว Active ขึ้นมาหน่อยครับ จุดเด่นเลยคือสระว่ายน้ำขนาดประมาณ 7 x 30 m. ซึ่งเป็นระบบ Ozone และเป็นสระที่ควบคุมอุณหภูมิได้อีกด้วยครับ ทำให้อย่างเวลาหน้าหนาวก็ยังสามารถว่ายน้ำอุ่นๆเลยได้นะ มีจุดล้างตัวข้างสระให้ล้างตัวก่อนลงสระว่ายน้ำ และมีห้องน้ำให้ใช้งานแบ่งโซนชาย-หญิง แต่จะไม่มีส่วนอาบน้ำให้กรณีมาใช้สระว่ายน้ำเสร็จแล้ว แนะนำให้เช็ดตัวก่อน แล้วไปใช้ห้องอาบน้ำที่ชั้น 3 หรือที่ห้องพักของตนเองนะครับ

ส่วนต่อมาเป็น Fitness ซึ่งมีห้อง Bodyweight Training แยกให้ต่างหากอีกด้วย กลายเป็น Fitness ที่ดูจริงจังมากขึ้น และด้านบนเป็นห้องเด็กเล่น ส่วนตรงกลางเป็นพื้นที่เคาน์เตอร์บาร์ ซึ่งอาจใช้จัดเป็นพื้นที่งาน Event ต่างๆริมสระน้ำได้ครับ แต่จะไม่ได้มีบริกรมาชงเครื่องดื่มให้นะ และทางด้านหลังของอาคารก็จะเป็นห้อง Meeting ทั้งหมดเลยครับ แต่เค้าจะมีห้องแบบ Private แยกไว้ให้ด้วย เพื่อใครต้องการความเป็นส่วนตัวก็สามารถจองได้ครับ (มีค่าใช้จ่ายครับ)

สำหรับโมเดลส่วนกลางตรงสระว่ายน้ำจะทำให้เห็นได้ว่า พื้นที่ทั้งหมดจะถูกล้อมรอบด้วยผนังกระจกและรั้วระแนงสูงทั้งหมดเลยครับ ซึ่งการทำลักษณะนี้หลักๆคือต้องการความปลอดภัยและเป็นส่วนตัวจากภายนอกครับ ต้องเข้าใจก่อนว่าโครงการนี้ไม่ได้ขายเรื่องวิวเป็นหลัก เพราะมองไปด้านไหนก็จะเป็น city view ทั้งหมด แต่สำหรับทำเลย่านนี้จะมีบางพื้นที่เป็นสถานทูตหลายแห่ง ซึ่งเค้าก็ต้องคำนึงถึงเรื่องมุมมองจากโครงการต่างๆด้วยครับ แต่พอสระว่ายน้ำไม่ต้องเน้นชมวิวแล้ว โครงการก็สามารถปลูกต้นไม้ล้อมรอบสระเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวได้เลย หากจัดสวนหรือปลูกต้นไม้ดีๆ อาจได้บรรยากาศรีสอร์ทใจกลางเมืองกรุงแบบนี้ก็ได้นะเนี่ย ซึ่งสระก็จะแยกเป็นสระเด็กและสระผู้ใหญ่ครับ มีบันไดให้เดินลงได้สะดวกเลย

ส่วนมุมมองอีกด้านจะมองเห็นผนังกระจกของพื้นที่ที่เป็น Indoor ซึ่งในส่วนของเคาน์เตอร์บาร์ที่อยู่ตรงกลางที่เราเห็นในช่วงแปลนนั้น จะสามารถเปิดออกทั้งหมด เพื่อเชื่อมต่อกับพื้นที่สระได้ด้วยนะครับ เหมาะที่จะจัด Event พิเศษต่างๆได้ดีทีเดียว

เกร็ดความรู้เพิ่มเติม : ระบบ Ozone Treatment โดยการผลิตก๊าซโอโซน (Ozone Gas) จากเครื่องอัดอากาศ (O2) ในอากาศให้กลายเป็นก๊าซโอโซน และสัมผัส (Contact) กับน้ำโดยตรง เพื่อใช้ในการฆ่าเชื้อโรค ซึ่งเป็นตัวฆ่าเชื้อโรคที่มีศักยภาพสูงมาก ใช้ในการดูแลน้ำของระบบ Spa หรือสระว่ายน้ำ โอโซนจะไม่มีสารตกค้าง แต่เมื่อน้ำผ่านโอโซนถูกฆ่าเชื้อโรคเรียบร้อยแล้ว น้ำที่สะอาดจะลงสู่สระว่ายน้ำ และในขณะที่น้ำอยู่ในสระประมาณ 3-6 ชั่วโมงนั้น ไม่มีอะไรไปฆ่าเชื้อโรค จนกว่าน้ำกลับมาผ่านโอโซนอีกครั้ง

ดังนั้น เมื่อมีคนนำเชื้อโรคลงในสระว่ายน้ำ ไม่ว่าเชื้อโรคอะไรเชื้อนั้นจะอยู่ในสระปนกับน้ำ ทำให้เกิดโรคติดต่อแก่ผู้เล่นน้ำในสระเดียวกันได้ ซึ่งเชื้อโรคนั้นจะต้องผ่านเครื่องฉีดโอโซนอีกครั้ง เชื้อโรคจึงจะถูกทำลาย ซึ่งบางประเทศจึงมีกฎหมายสำหรับสระว่ายน้ำสาธารณะ (Public Swimming Pool) ห้ามใช้ระบบโอโซนอย่างเดียว ต้องใช้ควบคู่กับระบบอื่น (เช่น ใช้คลอรีนหรือน้ำเกลือ) เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรคในสระว่ายน้ำ

ชั้นพักอาศัยจะเริ่มตั้งแต่ชั้น 5 เป็นต้นไป โดยสำหรับชั้นนี้จะพิเศษหน่อยครับ คือห้องทางทิศตะวันตก หรือด้านหน้าโครงการจะมีระเบียงขนาดใหญ่ด้วยนะ ซึ่งโดยปกติแล้วห้องพักอื่นๆของโครงการนี้จะไม่มีระเบียงแบบนี้เลยครับ ซึ่งถ้าใครเป็นคนชอบใช้งานพื้นที่ระเบียงมากๆ ก็จะต้องรีบกันหน่อยแล้วล่ะ เพราะมีแค่ 3 ยูนิดนี้เท่านั้นเอง

และถ้าใครกังวลว่าห้องที่กันมาทางทิศตะวันตกจะแดดร้อนก็ไม่ต้องห่วงเลยครับ เพราะบริเวณระเบียงเค้าจะทำกันสาดยื่นออกมาให้เต็มพื้นที่เลย ซึ่งนอกจากจะช่วยกันฝนแล้ว ยังกันแดดไม่ให้ส่องเข้าไปในห้อง ทำให้ห้องไม่ร้อน และยังออกมายืน take view สระว่ายน้ำในระยะใกล้ได้แบบเต็มๆเลย และถ้าใครที่กังวลเรื่องเสียงดังรบกวนจากคนมาใช้งานสระว่ายน้ำ ส่วนตัวผมคิดว่าด้วยจำนวนยูนิตเพียง 158 ห้อง ถือว่าน้อยมากๆครับ ซึ่งคนที่จะมาใช้งานก็ไม่ได้พลุ่กพล่านหรือวุ่นวายเท่าโครงการใหญ่ๆ ยูนิตเยอะๆ อย่างมากก็เสียงเด็กๆที่มาเล่นเป็นครั้งคราวเท่านั้นเอง

ชั้น 6 – 26 จะเป็นชั้นพักอาศัยแบบ Typical floor plan คือภายในจะเหมือนกันหมดทุกชั้น แต่จะมีแค่ layout ภายนอกอาคารเท่านั้นที่จะเปลี่ยนแปลงไปบ้างเล็กน้อยตามลักษณะ facade อาคาร ที่จะยื่นบ้างหดบ้างในแต่ละฟังก์ชันไม่เท่ากัน ใครชอบฟังก์ชันอะไรหรือให้ความสำคัญกับพื้นที่ส่วนไหนก็ลองเลือกๆดูได้ด้วยตัวเองเลยครับ เพราะทางโครงการเค้ามีแบบแปลนให้ดูทุกชั้นเลย

โดยในหนึ่งชั้นจะมีห้องมากสุดแค่ 6 ยูนิตเท่านั้น ซึ่งก็มีความเป็นส่วนตัวมากๆอยู่ แต่ยิ่งเป็นส่วนตัวมากขึ้นอีกด้วยการใช้ Direct-Entry Passenger Lift หรือ Private Lift ที่เปิดเข้าสู่ห้องได้โดยตรงครับ โดย Corridor ด้านนอกห้องนั้นจะเป็นโถงทางเดินสำหรับพนักงาน ช่างอาคาร และแม่บ้าน ที่จะขึ้นมาจากทาง Public Lift แยกจากลูกบ้านเพื่อความเป็นส่วนตัว เพราะที่โครงการนี้จะมีบริการแม่บ้านทำความสะอาดสัปดาห์ละ 3 ครั้งอีกด้วยครับ ดังนั้นตัว Private Lift จึงใช้งานจริงๆแค่ชั้นละห้องเท่านั้น ซึ่งชั้นพักอาศัยมีทั้งหมด 28 ชั้น นั่นหมายความว่าจะมีคนใช้งาน 28 ห้องต่อลิฟต์ 1 ตัวเท่านั้นเองครับ โดยอัตราส่วนลิฟต์ทั้งโครงการทั้งหมดคือ 26.33 : 1 นะ เพราะที่ชั้นบนๆจะมีชั้นพักอาศัยลดลงและเป็นห้องใหญ่ด้วยครับ

อีกเรื่องหนึ่งที่อยากให้สังเกตคือทิศทางการวางของห้อง ซึ่งโครงการนี้จะเน้นวิวไปทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตกเท่านั้น ซึ่งจะเป็นทิศที่ไม่มีตึกสูงมากมาบังในระยะประชิดจนเกินไป มีโรงเรียนและอาคาร low rise พอให้ได้หายใจหายคอกันบ้าง แต่ถ้าเรามองตรงๆออกไปก็จะเป็น City View เหมือนกันครับ คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครชอบวิวฝั่งไหนหรืออยากมองตึกอะไรมากกว่ากัน ระหว่างฝั่งราชดำริ – จุฬาฯ และฝั่งต้นสน – วิทยุ ส่วนห้องมุมก็จะได้วิวที่เปิดโล่งทั้ง 2 ด้านเลยครับ ถึงแม้อาจจะไม่ได้มองวิวไกลๆ แต่ก็ช่วยให้แสงธรรมชาติเข้าห้อง และทำให้โปร่งโล่งได้มากทีเดียวนะ

และนี่คือหน้าตาของ facade อาคารที่ว่าครับ ซึ่งทางโครงการได้รับแรงบันดาลใจมาจากลายหัตถกรรมจักรสานของไทยมาใช้ในการออกแบบอาคาร สังเหตว่าแต่ละช่องจะยื่นหดไม่เท่ากัน สลับไขว้กันไปมา โดยลดทอนให้มีความ Modern มากขึ้น และถ้าสังเกตอีกจุดหนึ่งคือบริเวณริมอาคารจะมีกระจกส่วนหนึ่งที่ทำเป็นสีดำครับ จุดประสงค์คือเพื่อเวลามองจากภายนอกไกลๆ จะทำให้เห็นว่าอาคารมีขอบเงาที่ชัดเจน ทำให้ดูสวยงามมากยิ่งขึ้น แต่ในขณะเดียวกันหากมองจากในห้องออกมาภายนอก จะไม่รู้สึกว่ากระจกตรงนั้นมืดหรือเป็นสีดำแต่อย่างใดครับ

ชั้น 27 – 29 จะมีห้อง 3 Bedrooms เพิ่มขึ้นมาครับ ทำให้ห้องพักอาศัยในชั้นนี้เหลือเพียง 5 ห้องเท่านั้น ซึ่งถ้าใครต้องการห้อง 3 Bedrooms ก็จะมีเพียงชั้นละ 1 ห้อง รวม 3 ชั้นก็ 3 ยูนิตเท่านั้นครับ

ขึ้นมาที่ชั้น 30 จะเป็นชั้นที่ห้องพักอาศัยจะหายไปครึ่งหนึ่งครับ ซึ่งก็เป็นไปตามกฏหมายระยะ set back ของอาคารสูงอย่างที่ผมบอกไปตอนต้นแล้ว ทำให้ห้องนี้มีจำนวนยูนิตเพียง 3 ห้องเท่านั้นเอง

ส่วนชั้น 32 และ 33 จะเป็นชั้น Penthouse ซึ่งจะกินพื้นที่ทั้ง floor เลยครับ มีขนาดพื้นที่ 419 และ 443 ตารางเมตร ตามลำดับ และยังได้ฝ้าเพดานสูงถึง 4 m. อีกด้วย จากปกติที่ห้องชั้นอื่นๆ จะสูงอยู่ที่ 3.5 m. ครับ โดยห้องรูปแบบนี้ทั้งโครงการจะมีเพียง 2 ยูนิตเท่านั้น และถ้าใครที่ซื้อห้องโครงการนี้แล้วอยากมีเพื่อนบ้านที่ใช้งานลิฟต์ร่วมกันเป็นคนที่อยู่ Penthouse ก็ให้เล็งตำแหน่งลิฟต์ดีๆนะครับ เพราะจะมีแค่ตำแหน่งเดียวเท่านั้นที่ห้อง Penthouse จะใช้งาน (ฮ่าๆๆ)

ส่วนชั้นสุดท้ายจะเป็น Sky Facilities ซึ่งพื้นที่ทั้งหมดจะเป็น Sky Lounge ให้ขึ้นมาชมวิวกันได้ครับ ฟังก์ชันการใช้งานก็ง่ายๆ คุณผู้อ่านลองจินตนาการภาพตามผมดีๆนะ สมมุติวันไหนเราอยากขึ้นมานั่งพักชิลๆ และชมวิวไปด้วย ก็อาจเลือกเป็น Sky Terrace โซนฝั่งซ้ายมือซึ่งเป็นพื้นที่ Outdoor จัดเป็นชุดโต๊ะและเก้าอี้แยกออกเป็น 3 ชุด ไม่รบกวนกัน แต่ถ้าวันไหนอยากขึ้นมายืนจิบไวน์และชมวิวแบบเท่ๆ ในห้องแอร์เย็นๆ ก็มีเคาน์เตอร์บาร์ตรงกลางทางฝั่งปีกขวา และยังพาแฟนมาดินเนอร์ที่ห้องอาหารด้านบนได้อีกด้วย แล้วถ้าอยากเป็นส่วนตัวขึ้นมาอีกนิดก็จะมีมุมสงบๆแยกมาให้อยู่ทางขวาล่างครับ

สำหรับการเข้าถึงส่วนกลางในชั้นนี้ จะมีลิฟต์โดยสาร 1 ตัว ให้ใช้งานโดยจะเชื่อมต่อตรงกับ Private lift ของห้อง Penthouse รวมถึงอีก 26 ห้องที่ใช้ลิฟต์ตัวนี้ร่วมกัน ซึ่งถ้าใครเลือกห้องในตำแหน่งลิฟต์นี้ก็จะไปใช้ส่วนกลางได้ง่าย แต่ก็จะมีเพื่อนบ้านคนอื่นมาใช้งานร่วมบ้างกรณีจะมาใช้ส่วนกลาง เพราะห้องอื่นๆที่ใช้ Private lift ตัวอื่นๆ นั้นจะต้องลงมาชั้น Lobby ก่อนเพื่อสลับมาใช้ลิฟต์ที่ขึ้นมาชั้นส่วนกลางได้แทนครับ

มาดูโมเดลภายนอกที่ผมปีนเก้าอี้ขึ้นไปถ่ายมาให้ดูกันบ้างครับ (โมเดลสูงตั้ง 2 m. รวมฐานเป็น 3 m.) โดยชั้นที่ชั้น 34 เราจะมองเห็นว่า Sky Terrace มีการจัดเป็นพื้นที่สวนดูร่มรื่นครับ โดยจะมีทั้งชุดโต๊ะเก้าอี้ที่แยกโซนออกเป็น 3 ชุด และมีโต๊ะเคาน์เตอร์บาร์ทรงสูงริมระเบียงให้ได้ขึ้นมานั่งเล่นชมวิว หรือทานอาหาร ทำ BBQ ร่วมกันแบบกลางแจ้งได้ ส่วนด้านล่างที่เห็นว่าเป็นกล่องๆยื่นออกมา จะเป็นระเบียงของห้อง Penthouse ทั้ง 2 ชั้นครับ แต่ดาดฟ้าชั้น 30 จะเป็นพื้นที่คอนกรีตธรรมดา ไม่สามารถออกไปใช้งานได้นะ

และสุดท้ายเป็นภาพบรรยากาศจำลองภายในของ Sky Lounge ครับ ก็ยังคุมธีมสี Earth tone แต่หรูหราเอาไว้อยู่นะ เหมาะที่จะมาขึ้นชมวิว City ใจกลาง CBD ของประเทศไทยมากๆ คงจะได้เห็นแสงไฟจากตึกโดยรอบสวยงามเลยครับ

สรุปสิ่งอำนวยความสะดวก

  • Ground Floor

  • Lobby
  • Waiting Lounge
  • Cold Storage (อยู่ด้านหลัง Juristic ไว้ฝากเก็บพัสดุของสดได้)
  • EV Charging Docks
  • Car Washing Area
  • Electric Vehicle Parking
  • Retail Shop
  • Drivers Lounge
  • Staff Canteen
  • Juristic Office

  • 3rd Floor
    • Private Storage
    • Auditorium
    • Wine Cellar
    • Cigar Storage
    • Cloakroom
    • Dressing Room
    • Piano Room 2 ห้อง
    • Spa Rooms (แยกชาย-หญิง)
    • Onsen (แยกชาย-หญิง)

  • 4th Floor
    • Temperature – Control Pool ขนาด 7 x 30 m.
    • Kids Pool
    • Kids Room
    • Business Lounge & Meeting Rooms
    • Semi – Outdoor Lounge
    • Sport Lounge & Bar
    • Fitness Center
    • Yoga Room
    • Bodyweight Training Room

  • 34th Floor
    • Sky Lounge
    • Private Kitchen & Dinning Area
    • Barbecue Deck
    • Sky Terrace

  • Inclusive Service
    • 3 Times Weekly Housekeeping Service
    • 24 Hours Front Office Attendant Service
    • 24 Hours Valet Service
    • 24 Hours Porter Service

  • ลิฟต์โดยสาร 6 ตัว/อาคาร
  • อัตราส่วนลิฟต์รวมทั้งโครงการ 26.33 : 1
  • Service Lift 1 ตัว
  • Public Lift 1 ตัว
  • ที่จอดรถประมาณ 231 คันคิดเป็น 146% (เป็นแบบ Auto Parking 226 คัน และแบบธรรมดา 5 คัน)
  • ระบบรักษาความปลอดภัยในโครงการ  CCTV / Key Card Access / RFID System / Hotel Card
  • แบบห้อง

    สำหรับห้องตัวอย่างของโครงการนี้จะมีอยู่ด้วยกัน 4 แบบครับ ซึ่งจะเป็นห้อง size ใหญ่ทั้งหมด ขายเป็นแบบ Fully Fitted คือมีให้เฉพาะเฟอร์นิเจอร์ Built in, ชุดครัว และสุขภัณฑ์ต่างๆในห้องน้ำครับ ขาดแค่เฟอร์นิเจอร์ลอยตัวบางอย่างที่เจ้าของห้องควรจะเลือกเอง โดยเฉพาะพวกโซฟา หรือเตียงนอน เพราะแต่ละคนมีความชอบที่แตกต่างกัน เช่น ความนุ่ม หรือผิวสัมผัสต่างๆครับ โดยแบบห้องจะประกอบด้วย

    • 1 Bedroom ขนาดพื้นที่ 83 – 84 ตารางเมตร
    • 2 Bedrooms ขนาดพื้นที่ 153 – 162 ตารางเมตร
    • 3 Bedrooms ขนาดพื้นที่ 240 ตารางเมตร.
    • Penthouse ขนาดพื้นที่ 419 – 443 ตารางเมตร

    ซึ่งวัสดุทั้งหมดจะถูกออกแบบและคัดสรรโดยคุณ ” Thomas Juul-Hansen” (โทมัส ยูล-ฮันเซน) จะเป็นอย่างไรบ้างนั้นลองไปรับชมกันเลยครับ

    ห้อง 1 Bedroom ขนาด 83.24 ตารางเมตร ซึ่งเป็นภายในมีการจัดแบ่งพื้นที่การใช้งานเป็นสัดส่วน และจะมีความแตกต่างจากห้อง 1 Bedroom ทั่วไป อย่างแรกคือมีขนาดพื้นที่ที่ใหญ่มาก จึงทำให้ฟังก์ชันแต่ละส่วนในห้องดูลงตัว และมีระยะใช้งานได้จริงมากขึ้น สำหรับพื้นที่ส่วนแรกบริเวณหน้าห้องคือ ส่วนต้อนรับหรือ foyer หน้าโถงลิฟต์ และจะมีพื้นที่ตู้รองเท้าให้ใส่กันก่อนออกจากห้องได้สะดวก ถัดเข้ามาจะเป็นพื้นที่ส่วนใช้งาน ประกอบด้วยห้องน้ำแบบ Powder room และพื้นที่ครัวแบบเปิดไม่มีอะไรกั้นแยก เพราะต้องการออกแบบให้เชื่อมต่อกับส่วนของ Living room เพื่อเน้นความโปร่งโล่ง ให้กลายเป็นพื้นที่ common area ขนาดใหญ่ และจะสังเกตได้ว่าห้องนี้ไม่มีระเบียงครับ จึงทำให้ได้พื้นที่ใช้สอยภายในห้องเยอะแบบนี้นั่นเอง ส่วนอีกด้านจะเป็นห้องนอนที่กั้นด้วยผนังทึบเป็นส่วนตัว มีขนาดพื้นที่กว้างขวาง และมี Walk in closet กับห้องน้ำขนาดใหญ่ในตัว ซึ่งของจริงจะเป็นอย่างไรบ้างเราลองไปชมพร้อมๆกันเลยครับ

    พื้นที่ส่วนแรกที่ห้องตัวอย่างมีให้ชมนั้นเริ่มตั้งแต่ลิฟต์เลยครับ คือเค้าได้จำลองลิฟต์โดยสารซึ่งตกแต่งภายในมาให้เหมือนของจริงที่เราจะได้เลย ผนังและพื้นทั้งหมดจะเป็นหินอ่อนธรรมชาติ ซึ่งผมลองสัมผัสดูแล้วก็จะมีความหยาบของเนื้อหินแท้อยู่ ไม่ใช่กระเบื้องลายหินอ่อนแบบทั่วไปครับ ดูหรูหราและสวยงามไปอีกแบบ ความรู้สึกแรกที่ผมเห็นคือเหมือนเป็นถ้ำหินอ่อนธรรมชาติเลย

    และเมื่อเราออกมาจากลิฟต์ก็จะเจอกับ foyer บริเวณหน้าโถงลิฟต์ เป็นส่วนต้อนรับขนาดประมาณ 1.45 x 2.4 m. ฝ้าเพดานบริเวณนี้สูง 3 m. พร้อมดรอปฝ้าให้ด้วยครับ ส่วนพื้นจะปูด้วยหินอ่อนธรรมชาติทั้งหมด สวยงามและสามารถทำความสะอาดได้ง่าย รวมถึงเราจะได้ตู้ไม้ Built in เต็มผนังแบบในห้องตัวอย่างนี้เลยครับ

    โดยตู้ Built in จะเป็นหน้าบานลายไม้แบบนี้ ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 ฟังก์ชัน คือเป็นตู้ Laundry และตู้เก็บรองเท้าตามภาพเลยนะ

    ภายในตู้ Laundry เค้าจะ Built in ชั้นวางของและที่แขวนของมาให้แบบในห้องตัวอย่างเลยครับ รวมถึงผนังตู้ด้านบนจะมีการเจาะช่องเพื่อเตรียมงานระบบดูดอากาศสำหรับเครื่องอบผ้าด้วย โดยที่เครื่องซักผ้าและเครื่องอบผ้าทั้ง 2 ใบนี้เราก็จะได้แบบในห้องตัวอย่างเลยด้วยนะ เพียงแต่เวลาเราใช้งานเครื่องอบผ้า อย่าลืมเปิดบานตู้เอาไว้ด้วยล่ะ เพราะบริเวณหน้าเครื่องจะมีช่องลมที่ปล่อยลมร้อนและไอน้ำออกมาด้านหน้า

    ถัดมาเป็นตู้รองเท้าครับ ซึ่งเค้าจะให้มา 2 ชุดเหมือนกันเลย ภายในสามารถเก็บรองเท้าได้มากกว่า 88 คู่ แต่ที่ผมชอบคือเค้าทำเป็นตู้ 2 ชั้น ซึ่งตู้ด้านหน้าสามารถเลื่อนซ้าย-ขวา เพื่อหยิบของที่ตู้ด้านหลังได้ด้วยครับ รวมถึงพวกไฟส่องสว่างภายในตู้ทุกบานของห้องต่อจากนี้ทั้งหมดเราก็จะได้แบบในห้องตัวอย่างเลยนะ

    หันมามองทางด้านซ้ายกันสักหน่อยครับ ซึ่งจะมีประตูบานหนึ่งสามารถเปิดออกไป Corridor ภายนอกห้องได้ อย่างที่ผมอธิบายไปช่วงแปลนแล้วว่า เส้นทางนี้เป็นส่วน service สำหรับช่างหรือแม่บ้านจะมาใช้งานกันมากกว่า โดยแม่บ้านของที่นี่จะมีบริการทำความสะอาดห้องอยู่เป็นประจำ สัปดาห์ละ 3 ครั้งใช้มั๊ยครับ ซึ่งเค้าก็จะเข้ามาทางนี้แหละ

    ระบบการเข้าออกของประตูบานนี้จะเป็นแบบ Hotel Card ซึ่งต่างจากการใช้ Key Card ของ Digital door lock แบบคอนโดทั่วไป ตรงที่สามารถควบคุมและตรวจสอบการใช้งานเข้า-ออก ได้ง่ายกว่า เหมือนกับโรงแรมเลยครับว่า card ใบนี้สามารถใช้ได้กี่ครั้ง และเฉพาะวันไหน เวลาเท่าไหร่ถึงเท่าไหร่ ซึ่งจะทำให้มีความปลอดภัยและสะดวกมากขึ้น รวมถึงของจริงก็จะมี Video door phone ติดตั้งมาให้ที่ด้านในห้องด้วยนะ

    พื้นที่ภายในห้องที่อยู่ทางด้านขวาของ foyer ของจริงจะมีประตูบานเลื่อนปิดเอาไว้เพื่อความเป็นส่วนตัว ซึ่งในชีวิตจริงเราอาจไม่ต้องปิดก็ได้ครับ เพราะห้องที่เป็น Private lift แบบนี้ก็เป็นส่วนตัวและไม่ค่อยมีคนมาหน้าห้องบ่อยอยู่แล้ว โดยถ้าปิดประตูก็อาจทำให้พื้นที่บริเวณนี้ดูมืดทึบไปพอสมควร เปิดไว้โล่งๆแบบนี้ก็ดูสว่างดี

    พื้นห้องจะเปลี่ยนจากพื้นหินอ่อนธรรมชาติ เป็นพื้นไม้ Engineering wood ท็อปไม้โอ๊ค ซึ่งจะมีการลดระดับลงจากพื้นหน้าห้องเล็ก โดยโถงทางเดินนี้จะกว้างประมาณ 1 m. สามารถเดินสวนกันได้ครับ

    ทางด้านขวาเป็นตู้เก็บของเล็กๆ ที่อยู่บริเวณหน้าห้องน้ำ สามารถใช้เก็บพวกอุปกรณ์ทำความสะอาด หรือ supply ที่ใช้ภายในห้องน้ำก็ได้นะ

    ส่วนภายในห้องน้ำส่วนกลางจะเป็น Powder room คือจะไม่มีพื้นที่อาบน้ำนะครับ ซึ่งเราจะได้ทุกอย่างตามที่เห็นในห้องตัวอย่างเลย พื้นเป็นหินอ่อนธรรมชาติ ผนังหินอ่อน+ไม้ ซ่อนไฟใต้ขอบผนัง และมีไฟหลืบบนฝ้าเพดานแบบนี้เลย ส่วนขนาดพื้นที่ห้องน้ำนี้จะอยู่ที่ประมาณ 1.45 x 1.6 m. สามารถใช้งานได้สบายๆ

    อ่างล้างหน้าเป็นของ Kohler ท็อปหินอ่อนธรรมชาติ มีพื้นที่วางของได้เล็กน้อย แล้วเราก็จะได้กระจกเงาทรงแบบนี้เลยด้วยนะ

    โถสุขภัณฑ์เป็น Toto Washlet รุ่น NeoRest ซึ่งจะเปิดฝาให้อัติโนมัติด้วยระบบเซ็นเซอร์ โดยทั่วไปแล้วโครงการส่วนใหญ่จะให้โถแบบนี้เฉพาะในห้องนอน Master Bedroom เท่านั้น แต่โครงการนี้ติดตั้งมาให้ในห้องน้ำทุกห้อง ไม่เว้นแม้แต่ Powder room ครับ และที่ผนังด้านข้างจะมีรีโมทต์ และที่แขวนกระดาษชำระติดตั้งมาให้พร้อมใช้งานด้วย

    ออกมาจากห้องน้ำ ทางด้านซ้ายมือของโถงทางเดินจะเป็นตู้ Built in สีขาว ดูกลมกลืนไปกับผนัง ภายในมีพื้นที่เก็บของค่อนข้างเยอะเลยครับ ซึ่งผมมีจุดให้สังเกตคือ บริเวณด้านบนของทุกตู้จะมีราวเหล็กเตรียมไว้ให้แขวนเสื้อผ้าหรือของอื่นๆ เผื่อกรณีตู้เสื้อผ้าในห้องนอนเก็บไม่พอนะ ซึ่งชั้นวางของเหล่านี้สามารถถอดเข้า-ออก เพื่อปรับฟังก์ชันการใช้งานได้ครับ

    อย่างตู้ใบที่ 3 นี้จะเห็นได้ชัดเลยครับว่าเค้าทำไว้ให้เผื่อแขวนเสื้อได้จริงๆ  ซึ่งหากใครยังเก็บของไม่พออีกก็อย่าลืมว่าที่ชั้น 3 จะมี Private Storges ที่เป็นพื้นที่เก็บของให้เช่าอีกนะ ^^

    สุดท้ายจะเป็นตู้เก็บไวน์ครับ ซึ่งเราจะได้ของตามนี้เลย ชั้นเก็บไวน์สามารถเลื่อนออกมาเพื่อหยิบได้สะดวกด้วย เพียงแต่อาจต้องก้มกันหน่อยนะ

    พื้นที่ถัดมาจะเป็นครัวครับ และอย่างที่เห็นว่าเป็นครัวเปิด อาจไม่เหมาะที่จะทำอาหารจริงจังในห้องมากนัก และถ้าสังเกตดีๆจะเห็นได้ว่า เค้าออกแบบและเลือกใช้วัสดุได้สวยงามและกลมกลืนกันมากเลยทีเดียว คือดูแล้วไม่เป็นครัวจ๋าแบบโดดมากเกินไป แต่กลับรู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งห้องพื้นที่ห้อง common area ที่ต่อเนื่องกันมากกว่า ส่วนฝ้าเพดานด้านบนจะเป็นแอร์ Conceal type แบบฝังฝ้า ระบบ VRV ครับ

    เกร็ดความรู้ : VRV ย่อมาจาก Variable Refrigerant Volume หรือ ระบบปรับอากาศที่ใช้น้ำยาปรับอากาศเป็นสื่อความเย็น โดยมีความสามารถปรับปริมาณน้ำยาทำความเย็นที่ส่งออกจากตัวคอมเพรสเซอร์เข้าสู่ Fan Coil ทำความเย็นตามภาระของโหลดของห้องจริงและเครื่องปรับอากาศ ระบบนี้ใช้พลังงานน้อยกว่าระบบ CRV ที่ปริมาณน้ำยาทำความเย็นที่ส่งออกจากคอมเพรสเซอร์จะมีปริมาณคงที่ตลอดเวลา การที่ระบบ VRV สามารถปรับเปลี่ยนปริมาณน้ำยาทำความเย็น ส่งผลให้สามารถควบคุมอุณหภูมิในพื้นที่ปรับอากาศได้ดีกว่าระบบเดิม

    ส่วนฝ้าเพดานตรงครัวก็จะมีพัดลมดูดอากาศ ช่วยระบายกลิ่นจากการประกอบอาหารได้อีกแรงนะ เผื่อว่าที่ดูดควันตรงเตาอาจยังไม่พอ ซึ่งก็พอช่วยได้ส่วนหนึ่งครับ แต่หากเราทำอาหารหรือทานอาหารในห้อง ยังไงก็ต้องมีกลิ่นอาหารกระจายทั่วห้องอยู่แล้ว ก็อาจใช้วิธีเปิดหน้าต่างที่โซนนั่งเล่น เพื่อระบายอากาศโดยตรงอีกทีนะ

    พื้นที่ทำครัวจะกว้างประมาณ 0.9 x 2.45 m. สามารถใช้งาน 1 คนได้แบบสบายๆครับ โดยที่พื้นจะเปลี่ยนวัสดุเป็นหิน Quartz ซึ่งนอกจากจะทำความสะอาดได้ง่ายแล้ว ยังทนต่อสารเคมี หรือกรด – ด่าง และทนคราบน้ำมันที่อาจมาจากการทำอาหารได้ดีอีกด้วยครับ ต่างจากหินอ่อนแท้ที่จะมีรูพรุนในเนื้อหินตามธรรมชาติค่อนข้างเยอะ ทำให้เป็นรอยด่างได้ง่าย และแบ่งพื้นที่เคาน์เตอร์ใช้งานออกเป็น 2 ฝั่งครับ

    เคน์เตอร์ครัวทั้งหมดเป็นของ Bulthaup ซึ่งมีพื้นที่เก็บของค่อนข้างเยอะทีเดียวครับ แต่พวกวัสดุปิดผิวภายนอกนั้นยังคงถูกคัดสรรโดยคุณโทมัส เพื่อให้เข้ากับ concept การออกแบบห้องของเค้าครับ

    ที่น่าสนใจคือตู้เย็นทางด้านขวามือ เป็นของ Sub-Zero ซึ่งเป็นตู้เย็นที่ใช้เทคโนโลยี NASA มาใช้ในการถนอมอาหาร เช่นวัสดุที่เป็นพลาสติกก็เป็นแบบเดียวกับที่ใช้ทำหน้ากากชุดนักบินอวกาศ หรือการควบคุมอุณภูมิในตู้ก็จะเหมือนกับตู้แช่เย็นในยานอวกาศ เพื่อจะได้เก็บของสดได้นานๆ (เห็นว่าแอปเปิ้ลสามารถเก็บในตู้นี้ได้นาน 6 เดือนถึง 1 ปี โดยไม่เน่าเสียเลยครับ)

    ตรงกลางเป็นเตาไฟฟ้าพร้อมเครื่องดูดควันจาก Gaggenau โดยเครื่องดูดควันด้านบนจะมีท่อดูดออกไปปล่อยภายนอกห้อง ไม่ใช่แบบหมุนเวียนภายในนะครับ

    ตู้อบทางด้านซ้ายก็เป็นของ Gaggenau เช่นกัน ส่วนหน้าบานตู้ทั้งหมดจะเป็นการอบสี เป็นสีขาวขุ่นที่มีผิวสัมผัสหยาบเล็กน้อย ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ แต่เช็ดทำความสะอาดได้ง่าย ส่วนตู้บานเข้มๆ จะเป็นอลูมิเนียมสีพิเศษ ทำให้ชุดครัวดูหรูหราและมีมิติมากขึ้น รวมถึงยังไม่เป็นรอยง่ายอีกด้วยครับ

    ส่วนเคาน์เตอร์ทางด้านซ้ายเราก็จะได้แบบนี้เลยครับ ซึ่ง Top ด้านบนจะเป็นหิน Quartz เช่นเดียวกับตัวพื้นเลยนะ มีพื้นที่ประกอบอาหารบนโต๊ะกว้าง 80 cm. สามารถยืนช่วยกันทำ 2 คน คนละฝั่งได้แบบสบายๆ

    ทางด้านขวาสุดเป็นถังขยะครับ ซึ่งเค้าจะแบ่งเป็น 2 ช่อง คือ ถังขยะเปียก และถังขยะแห้ง สามารถเปิดฝาครอบออกมาเพื่อนำออกไปทิ้งได้

    ส่วนตรงกลางก็จะมีพื้นที่เก็บของเยอะเช่นกันครับ ที่น่าสนใจคือลิ้นชักชั้นบนสุด เราจะได้ถาดวางอุปกรณ์เป็นไม้โอ๊ค พร้อมมีที่กั้นเป็นแท่งอลูมิเนียมแบบนี้จาก Bulthaup ด้วย ส่วนด้านซ้ายสุดจะเป็นเครื่องล้างจานอัตโนมัติครับ

    อ่างล้างจานด้านบนเป็นของ Blanco มีขนาดหลุมประมาณ 49 x 39 cm. ลึก 20 cm. ค่อนข้างใหญ่ทีเดียว ล้างจานน้ำไม่กระเด็นออกมาข้างนอกแน่นอนครับ ส่วนก๊อกน้ำก็สามารถดึงเป็นก๊อกสายอ่อนออกมาใช้งานได้นะ และที่ท่อระบายน้ำด้านใน เค้าจะมีตัวอุดท่อน้ำ (จุกสีดำๆ) แถมมาให้ด้วยครับ เผื่อใครจะรองน้ำในอ่างเพื่อล้างผักหรือล้างจานได้นะ

    แล้วถ้าเรามองจากครัวเข้าไปยังภายในห้อง ก็จะได้วิวโปร่งโล่งแบบนี้เลย เห็นได้ชัดว่าฟังก์ชันทั้งหมดดูเชื่อมต่อเหมือนเป็นพื้นที่เดียวกัน ทำให้คนในห้องมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน เพียงแต่เวลาทำอาหารในครัว หรือทานอาหารที่โต๊ะก็จะดูทีวีไม่ได้เท่านั้นเอง โดยฝ้าเพดานของพื้นที่ด้านในจะสูง 3.5 m. นะครับ

    ต่อจากไอส์แลนด์จะเป็นพื้นที่วางโต๊ะอาหาร ซึ่งโต๊ะชุดนี้เราจะไม่ได้นะครับ แต่ก็มีขนาดพื้นที่มากพอที่จะวางโต๊ะขนาด 4 ที่นั่งได้แบบนี้ จะเป็นโต๊ะเหลี่ยมหรือโต๊ะกลมก็ได้

    พื้นที่นั่งเล่นจะอยู่ติดกับหน้าต่างทำให้สว่างและโปร่งโล่งมาก โดยมีระยะดูทีวีอยู่ที่ 3.7 m. สามารถใช้ทีวีจอใหญ่ๆ ถึง 60 นิ้วได้เลย แล้วยังมีระยะที่เหลือเฟือ จะวางโซฟาชุดใหญ่กว่านี้ก็ได้ ใครที่ชอบนอนก็อาจเลือกเป็นโซฟารูปตัว L ไปเลย และยังมีพื้นที่วางโต๊ะหน้าทีวีได้สบายๆอีกด้วย

    ชุดหน้าต่างจะได้แบบเต็มผนัง สูงจากพื้นถึงฝ้าเพดานแบบนี้เลยครับ ส่วนที่ชอบคือช่องหน้าต่างตรงกลางที่เป็นช่องขนาดใหญ่ 2.1 x 3.35 m. ทำให้สามารถชมวิวได้อย่างเต็มที่ กระจกนี้เป็นกระจก Insulated Low-E กรอบอลูมิเนียมครับ

    ขอบคุณภาพและข้อมูลประกอบจาก https://www.visionglass.net/low-emission/

    “LOW-E GLASS” คือ กระจกกันความร้อนแบบการแผ่รังสีความร้อนต่ำ กระจกชนิดนี้โดยปกติจะเคลือบสารฉนวนกันรังสีอินฟาเรดหรือรังสีความร้อนไว้ด้านในของกระจกฉนวน เพื่อทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้รังสีความร้อนแพร่ผ่านจากภายนอกเข้าสู่ภายในอาคาร เมื่อรวมกับประสิทธิภาพการป้องกันความร้อนของช่องว่างอากาศ (AIR gap) หรือที่เรียกว่า กระจกสูญญากาศ (DOUBLE GLAZING GLASS) ทำให้กระจกชนิดนี้สามารถควบคุมปริมาณความร้อนที่เข้าสู่ภายในอาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้ภายในเย็นสบาย ลดการทำงานและยืดอายุของระบบปรับอากาศ รวมทั้งประหยัดค่าไฟฟ้า โดยที่ยังให้ความสว่างภายในอย่างเพียงพอ ไม่ทำให้เกิดฝ้า หรือละอองน้ำที่ผิวกระจก และลดเสียงรบกวนจากภายนอกได้

    ทางด้านซ้ายจะมีหน้าต่างบานกระทุ้งอยู่หลังม่านนะ สามารถเปิดระบายอากาศได้ ซึ่งกรอบกระจกค่อนข้างหนาและหนักอยู่สักหน่อย ทั้งนี้เพื่อป้องกันลมจากภายนอกนั่นเองครับ

    ส่วนทางด้านขวาจะเป็นช่องประตูขนาดใหญ่ แต่ไม่ใช่ประตูที่เปิดออกไปด้านนอกนะครับ อย่าลืมว่าห้องนี้ไม่มีระเบียงนะ พื้นที่ด้านนอกนั่นเป็นกรอบอาคารของ Sale Gallery เท่านั้น แต่ประตูนี้เปิดออกมาจะเจอกับราวกันตกกระจกนิรภัย Tempered Glass เอาไว้เปิดระบายอากาศ หรือยืนรับลมได้คล้ายๆกับเป็นระเบียงครับ

    อีกหนึ่งจุดที่อยากให้สังเกตคือ ด้านบนจะดรอปฝ้าเพื่อซ่อนร่างม่านเอาไว้ให้แบบนี้ แต่เค้าจะไม่ได้เดินรางม่านมาให้นะครับ เราต้องเดินเอง ซึ่งเค้ามีการเตรียมงานระบบสำหรับติดม่านไฟฟ้าเอาไว้ในฝ้าให้แล้วด้วย

    แต่สิ่งที่เราจะได้แน่ๆคือม่าน Roller กันแสง ซึ่งควบคุมด้วยรีโมทต์ สามารถปิดได้สนิทเพื่อความเป็นส่วนตัว เผื่อใครอยากได้ห้องมืดๆไว้ดูหนังในห้องเป็นส่วนตัวเหมือนในโรงหนังนี่เหมาะเลยครับ

    มองย้อนกลับมาภายในห้อง ภาพรวมการตกแต่งที่คุณโทมัสเลือกนั้นดูเรียบง่ายและลงตัวดีนะครับ คือไม่เยอะและไม่น้อยจนเกินไป ซึ่งต่อไปเราจะไปดูห้องนอนที่อยู่ทางขวามือกันครับ

    ห้องนอนจะถูกกั้นด้วยผนังทึบได้ความเป็นส่วนตัว ซึ่งประตูจะเป็นไม้บานทึบ สูง 3 m. ครับ ด้านซ้ายมือจะมีพื้นที่ว่างอยู่ เราสามารถ Built เป็นตู้ หรือหาของตกแต่งมาว่างเพิ่มได้ครับ จะได้ใช้พื้นที่ตรงนี้ได้เกิดประโยชน์ ดีกว่าปล่อยไว้โล่งๆนะ

    ภายในห้องนอนมีขนาดพื้นที่กว้างขวางเลยทีเดียวนะ กว้างประมาณ 4.2 x 3.7 m. สามารถวางเตียงขนาด king size ไว้กลางห้องได้แบบนี้เลย โดยห้องนี้เราจะได้เป็นห้องเปล่านะครับ สามารถตกแต่งได้ตาม life style ของตัวเองเลย ส่วนตัวผมจะเลื่อนเตียงมาทางซ้ายอีกหน่อย ไม่จำเป็นต้องอยู่กลางห้องก็ได้ เพราะผมจะวางโต๊ะทำงานไว้ชิดริมหน้าต่าง ทำงานไปชมวิวไปนี่ฟินสุดๆ

    ส่วนปลายเตียงเป็นผนังทึบ จะแขวนทีวีติดผนังก็ได้ หรือจะวางบนตู้แบบนี้ก็ได้ครับ เพราะยังมีพื้นที่เหลือเฟือถึง 1.5 m. เลยทีเดียว

    ส่วนอีกด้านของห้องจะเป็นทางไป Walk in closet กับห้องน้ำ โดยที่ด้านบนก็จะดรอปฝ้าลงมา และใช้เป็นแอร์แบบ Conceal type เหมือนห้องด้านนอกเลยครับ

    พื้นที่ทางเดินของ Walk in closet จะกว้างประมาณ 1.3 m. ทำให้เดินได้สะดวก และทางซ้ายมือจะเป็นโต๊ะเครื่องแป้ง ส่วนทางขวามือจะเป็นชุดตู้เสื้อผ้า Built in ครับ

    โดยที่ตู้เสื้อผ้าชุดนี้จะเป็นของ Lema นำเข้าจากอิตาลี และของจริงจะมีประตูกั้นบริเวณด้านหน้าให้ก่อน 1 ชั้น และด้านในก็จะเป็นหน้าบานโล่งแบบนี้ ทำให้เหมือนเป็นตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่นั่นเอง ภายในกว้าง 1 m. ยืนเลือกเสื้อผ้าได้สบายๆครับ

    ส่วนอีกด้านเป็นชุดโต๊ะเครื่องแป้ง ซึ่งก็จะได้หน้าตาแบบนี้เลยครับ ที่อาจต้องหาซื้อมาเพิ่มก็คือเก้าอี้เอาไว้นั่งแต่งหน้าสำหรับคุณผู้หญิงนะ

    กระจกเงาและไฟด้านบน รวมถึงไฟซ่อนต่างๆเราจะได้ตามนี้ทั้งหมดเลย พื้นที่เก็บของด้านล่างก็มีเยอะครับ สามารถเก็บพวกเครื่องประดับหรือ supply ต่างๆ ได้อย่างเต็มที่

    สุดท้ายเป็นห้องน้ำของ Master Bedroom มีขาดพื้นที่ค่อนข้างใหญ่เลยทีเดียว ทั้งพื้นและผนังจะปูด้วยหินอ่อนธรรมชาติ และมีการแบ่งแยกพื้นที่การใช้งานเป็นสัดส่วนครับ

    พื้นที่ห้องจะเป็นลักษณะคล้ายรูปตัว L โดยที่พื้นที่ส่วนแห้งส่วนแรกจะมีขนาดกว้าง 1 m. ส่วนพื้นที่อีก 2 ส่วนทางด้านในและขวามือ ของจริงจะมีฉากกั้นกระจกแยกเป็นสัดส่วนนะครับ

    เริ่มจากทางซ้ายมือเป็นชุดเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า โดยเราจะได้เป็นชุด Built in หินอ่อนทั้งชุด พร้อมไฟซ่อนด้านหลังแบบนี้ และมีกระจกเงาบานใหญ่ที่ส่องได้ทั้งตัว

    ด้านข้างทั้งสองฝั่งมีตู้ฝังผนังอยู่ด้านหลังกระจกเงา สามารถกดกระเด้งออกมาเพื่อเปิดเก็บของได้ครับ เพียงแต่อาจต้องเช็ดทำความสะอาดบ่อยๆหน่อย เพราะอาจจะมีรอยนิ้วมือบนกระจกได้ง่าย

    อ่างล้างหน้าแบบ His & Her ของ Kohler ขนาดประมาณ 50 x 32 cm. ทั้ง 2 ชุด โดยที่ Top เคาน์เตอร์ด้านบนจะเป็นหินอ่อนแท้ มีพื้นที่วางของพอสมควร และที่ด้านล่างก็ Built ตู้เก็บของแบบมีหน้าบานปิดเรียบร้อยมาให้ด้วยครับ

    ส่วนก๊อกน้ำจะเป็นของ Axor ซึ่งมีดีไซน์วิธีการเปิดที่แปลกต่างจากคอนโดทั่วไปดีครับ โดยใช้วิธีโยกหมุนเพื่อผสมอุณหภูมิน้ำได้ด้วยตัวเอง เพราะก๊อกน้ำโครงการนี้ทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่ตรงอ่างล้างจาน จะเดินท่อน้ำร้อนเอาไว้ให้หมดเลยนะ

    ติดกันทางขวาเป็นพื้นที่โถสุขภัณฑ์แยกออกไปเป็นสัดส่วน โดยของจริงจะมีประตูกระจกลูกฟูกกั้นเอาไว้ให้ ช่วยพรางสายตาได้ระดับหนึ่ง ส่วนภายในจะเป็นโถสุขภัณฑ์ของ Toto Washlet รุ่น NeoRest เหมือนห้องน้ำด้านนอกเลยครับ และที่ฝ้าเพดานก็จะติดตั้งพัดลมดูดอากาศมาให้เรียบร้อย

    อีกด้านของห้องจะเป็นพื้นที่อาบน้ำครับ ซึ่งของจริงนั้นเค้าจะติดตั้งฉากกั้นกระจกนิรภัย Tempered Glass มาให้ เพื่อแยกออกพื้นที่อย่างเป็นสัดส่วนนะ จะเห็นได้ว่าฟังก์ชันภายในค่อนข้างแปลก เพราะมีให้เลือกการใช้งานค่อนข้างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการยืน นั่ง หรือนอนแช่น้ำ ก็สามารถทำได้หมด แล้วแต่ชอบเลยครับว่าวันไหนอยากอาบแบบไหน หรือจะอาบพร้อมกัน 2 คน สามี-ภรรยา ก็ยังได้นะ ^^

    พื้นที่อาบน้ำกว้างประมาณ 1.85 x 1.25 m. โดยจะลดระดับลงจากพื้นที่ส่วนแห้งเล็กน้อยเพื่อป้องกันน้ำไหลย้อนออกมาด้านนอก

    Shower ถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง เริ่มจากทางด้านซ้ายจะมีที่ให้นั่งยื่นออกมาจากผนัง แล้วอาบแบบ Rain Shower ปล่อยน้ำลงมาจากด้านบน อารมณ์เหมือนไปนั่งอยู่ใต้น้ำตกเวลาไปเที่ยว ใต้ที่นั่งมีท่อระบายน้ำขนาดใหญ่ซ่อนอยู่ มั่นใจได้ว่าจะระบายน้ำทันแน่นอนครับ ส่วนอีกด้านจะเป็น Shower แบบยื่นอาบนะ

    ซึ่ง Shower ทางด้านขวานี้ก็น่าสนใจไม่แพ้กันครับ เพราะมีฟังก์ชันให้เลือกหลากหลายแบบมาก ทั้งแบบ Rain Shower บนฝ้าเพดาน, Hand Shower แบบมือจับ หรือจะเป็นระบบ Jet ที่จะพ่นน้ำออกมาทางด้านข้างกำแพงก็มี สามารถกดปุ่มเลือกใช้ได้ตามอัธยาศัย สะอาดทั่วทุกส่วนแน่นอน โดยอุปกรณ์อาบน้ำทั้งหมดจะเป็นของ Axor ครับ

    ฟังก์ชันสุดท้ายคืออ่างอาบน้ำจาก Toto ขนาดประมาณ 0.58 x 1.3 m. ลึก 42 cm. เป็นแบบไม่ใหญ่มากนะครับ สามารถนั่งแช่น้ำได้แต่อาจลงไปนอนทั้งตัวไม่ได้ (เว้นแต่ว่าจะนั่งชันเข่าเอาไว้) โดยรอบอ่างจะมีขอบวางสบู่เล็กน้อย แต่ถ้าไม่พอก็อาจต้องติดตั้งชั้นวางเพิ่มเติมเอานะ

    ก๊อกน้ำดีไซน์ที่เปิดแบบหมุน แต่จะทำเป็นฟันเฟืองทำให้ใช้งานไม่ยาก แถมยังสวยงามแปลกตาดีด้วย ส่วน shower ที่ติดตั้งมาให้จะเป็นลักษณะทรงกระบอก แบบมีรูน้ำออก 2 ทาง

    ซึ่งผมก็ไปหาข้อมูลมาให้แล้วล่ะ รุ่นนี้สามารถปล่อยน้ำได้ทั้งจากด้านข้างปกติ และจากส่วนปลายได้แบบนี้เลยครับ เอาไว้ปรับเปลี่ยนฟังก์ชันการใช้งานไปตามสถานการณ์ได้

    สุดท้ายคือผนังสีทองที่ทุกคนคงจะสะดุดตาและประทับใจตั้งแต่เข้ามาในห้องน้ำตอนแรกเลยใช่มั๊ยครับ จากที่ลองสอบถามดูที่แน่ๆไม่ใช่ทองคำแท้แน่นอนครับ (ใจเย็นๆนะ) แต่เหมือนเป็นการเคลือบผิวด้วยอลูมิเนียมสีทองมากกว่า ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ทำให้ห้องน้ำนี้ดูแพงและหรูหราขึ้นมามาก อีกทั้งยังเข้ากับสีของหินอ่อนที่คัดสรรมาแล้วได้ดีมากเลยครับ

    ห้อง 2 Bedrooms ขนาด 162 ตารางเมตร ห้องนี้จะมีห้องตัวอย่างเป็นบางส่วนให้ดูเท่านั้นนะครับ คือห้องครัว และห้องน้ำของ Master Bedroom ซึ่งทั้ง 2 ฟังก์ชันนี้จะมีความแตกต่างกับห้อง 1 Bedroom เล็กน้อยครับ นอกนั้นพื้นที่ส่วนอื่นๆ จะเป็นพื้นที่โล่งๆที่โครงการไม่ได้ให้เฟอร์นิเจอร์มาอยู่แล้ว ซึ่งเราจะต้องซื้อมาตกแต่งด้วยตัวเอง แต่แบบห้องจะเป็นอย่างไรบ้างเรามาวิเคราะห์ไปพร้อมๆกันครับ

    เข้ามาภายในห้องแน่นอนว่าจะต้องมาจาก Private life และมาเจอ foyer ก่อนเช่นเคย ก่อนที่จะเข้ามาเจอพื้นที่ common area ขนาดใหญ่ โดยห้องนี้จะเป็นห้องมุมด้วยนะ จึงทำให้ได้ผนังกระจกถึง 2 ด้าน โปร่งโล่งมากๆเลย และแอบชอบตรง Living room จะมีพื้นที่เว้าขึ้นไปด้านบนจึงทำให้รู้สึกเป็นสัดส่วน เหมาะจะทำเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ตาม lifestyle ส่วนตัว เช่น มุมทำงานอ่านหนังสือ มุมดูหนังเล่นเกมส์ เป็นต้น ส่วนครัวจะหลบไปอยู่ตรงมุมห้องทางด้านซ้าย และได้เป็นครัวปิด จึงทำให้สามารถทำอาหารได้อย่างจริงจังมากขึ้น

    โถงทางเดินกลางห้องจะแจกไปตามฟังก์ชันอื่นๆ ทั้งห้อง Powder room, Laundry และห้องนอนเล็กซึ่งจะมีห้องน้ำในตัวด้วย ส่วนห้อง Master Bedroom จะมีขนาดพื้นที่ใหญ่มากครับ มี Walk in closet ในตัวเป็นสัดส่วน และได้ห้องนอนแบบผนังกระจก Sexy Barth อีกด้วย ของจริงจะเป็นอย่างไรนั้นลองไปชมกันเลยครับ

    สำหรับห้องตัวอย่างที่ 2 ภายนอกเค้าได้จำลองบรรยากาศบางส่วนห้อง common area มาให้ดูครับ ตรงกลางเป็นห้องครัวซึ่งด้านหน้าก็จะเป็นโต๊ะทานอาหารแบบนี้แหละ ส่วนห้องกระจกทางซ้ายมือจะเป็นห้องน้ำที่อยู่ภายในห้องนอน Master Bedroom ครับ

    ครัวของห้องนี้เป็นครัวปิด เพราะของจริงจะมีประตูบานเลื่อนอยู่หน้าห้องนะ ภายในมีพื้นที่ค่อนข้างใหญ่ สามารถใช้งานได้ทั้ง 3 ด้าน คือเคาน์เตอร์ครัวรูปตัว L ยาวๆทางด้านขวา กับ Built ตู้เก็บของแบบเต็มผนังทางด้านซ้ายทั้งหมดเลย ถือว่าเป็นการใช้พื้นที่ได้เป็นประโยชน์มากๆครับ

    พื้นที่ใช้งานภายในจะกว้างประมาณ 1.35 x 2.87 m. สามารถใช้งาน 2 คนพร้อมๆกันได้สบายๆเลยครับ พื้นปูด้วยกระเบื้องหิน Quartz เหมือนกับห้องที่แล้วเลย ทนทานและทำความสะอาดง่ายมากๆ

    ตู้ใบแรกทางด้านซ้ายก็ยังได้เป็นตู้เย็นของ Sub – Zero เหมือนเดิมครับ เพิ่มเติมคือได้เพิ่มมาเป็น 2 ตู้ติดกันแบบนี้เลย สามารถเก็บของได้เยอะมากขึ้น

    ถัดมามีตู้แช่ไวน์ที่ขนาดใหญ่ขึ้น และติดกันเป็นเตาอบและชั้นวางของต่างๆ

    ด้านในสุดของห้องครัวมีช่องเก็บของในตู้ สามารถเก็บของได้เยอะมากๆ แน่นอนว่าเราจะได้ถาดใส่ของเป็นไม้โอ๊คในลิ้นชักเหมือนห้องที่แล้วด้วยนะครับ

    Top เคาน์เตอร์ครัวและ Backsplash ก็เป็นหิน Quartz  มีพื้นที่ประกอบอาหารหรือวางของกับเครื่องปรุงต่างๆเยอะมากๆ

    Hob & Hood ยังเป็นของยี่ห้อง Gaggenau เช่นเคยครับ แต่สำหรับห้อง 2 Bedrooms จะมีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 5 หัว ในขณะที่ห้องก่อนหน้านี้จะมี 4 หัวครับ

    ส่วนเคาน์เตอร์อีกด้านจะมีขนาดที่ยาวมากกว่า เพราะเป็นพื้นที่เตรียมวัตถุดิบในการประกอบอาหารได้ รวมถึงมีอ่างล้างจานที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น เป็นแบบ 2 หลุม ทำให้การใช้งานสะดวกมากยิ่งขึ้น

    ตู้ด้านบนก็ยังคงเก็บของได้เยอะ แต่ที่ชอบคือตรงบริเวณขอบบานจะมีแถบซิลิโคนพร้อมตัว stopper ที่ช่วยลดการกระแทกของบานตู้ได้ ซึ่งความจริงก็มีระบบ solf close ช่วยอยู่แล้วล่ะครับ แต่นี่เป็นตัวเสริมที่ช่วยอีกแรง และทำให้ปิดได้สนิทมากขึ้นอีกด้วย

    ส่วนตู้ด้านล่างจะมีทั้งเครื่องล้างจานอัตโนมัติ ช่องเก็บของชิ้นใหญ่ และตรงมุมเคาน์เตอร์จะมีชั้นวางของที่สามารถเลื่อนออกมาเพื่อเก็บของเข้ามุมด้านในลึกๆได้ โดยที่ไม่ต้องก้มลงไปมุดตู้เหมือนแต่ก่อน เป็นการใช้พื้นที่ได้คุ้มค่าเลยทีเดียว

    มาถึงฟังก์ชันสุดท้ายของวันนี้แล้วครับคือ ห้องน้ำของ Master Bedroom ซึ่งลักษณะก็จะคล้ายๆกับห้องก่อนหน้านี้เลยครับ มีการแบ่งพื้นที่ออกเป็นสัดส่วนดี

    พื้นที่ใช้งานเป็นรูปตัว L เหมือนกัน และของจริงก็จะมีฉากกั้นแยกฟังก์ชันต่างๆ อย่างเป็นสัดส่วนอีกด้วย โดยพื้นที่ส่วนแห้งนี้จะกว้างประมาณ 1.2 m. ทำให้ใช้งาน 2 คนพร้อมๆกันได้สบายๆครับ

    ทางด้านขวามือจะเป็นชุดเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้าแบบ His & Her เหมือนกับห้องที่แล้วเลยครับ ทั้งไฟ กระจก และตู้เก็บของได้เหมือนกันหมด

    ติดกันก็จะเป็นพื้นที่โถสุขภัณฑ์แยกออกเป็นสัดส่วน ของจริงจะติดตั้งฉากกั้นกระจกลูกฟูกเอาไว้ให้ช่วยพรางสายตา และขนาดพื้นที่ภายในกว้าง 1 x 1.75 m. สามารถใช้งานได้สบายๆ

    ส่วนทางด้านซ้ายของห้องเป็นพื้นที่อาบน้ำครับ ซึ่งส่วนนี้จะแตกต่างกับห้องก่อนหน้านี้ตรงที่อ่างอาบน้ำจะเป็นแบบลอยตัว และไม่มีผนังสีทองแต่ทำเป็นผนังกระจกแบบ Sexy Barth แทนครับ ซึ่งของจริงจะมองออกไปเป็นห้องนอนและเตียงนอนของห้อง Master นั่นเอง

    พื้นที่ยืนอาบน้ำส่วนแรกจะกว้างประมาณ 1 x 2 m. ด้านบนติดตั้ง Rain shower ทั้ง 2 ฝั่ง

    ฟังก์ชันนี้จะคล้ายๆกับห้องก่อนหน้านี้นะครับ เพียงแต่จะไม่มีที่นั่งอาบน้ำแล้วเท่านั้น รวมถึงท่อระบายน้ำก็จะแยกออกเป็น 2 ฝั่งเลยด้วย

    ส่วนอ่างอาบน้ำนี้เป็นของ Toto แบบหล่อทั้งชิ้นทำให้ไม่มีปัญหาการรั่วซึม ดีไซน์โค้งเว้าสวยงามดีครับ

    ก๊อกน้ำและฝักบัวจะเหมือนกับของห้องที่แล้วที่สามารถปล่อยน้ำออกมาได้ 2 ทาง รวมถึงมีการซ่อนขอบน้ำล้นเอาไว้ด้านหลังราวจับเพื่อความแนบเนียนอีกด้วย

    สุดท้ายมาดูเรื่องของ Wall paper ที่ให้กันบ้างครับ โดยภาพแรกจะเป็นส่วนของพื้นที่ common area จะออกสีเทาๆนะ ส่วนภาพที่สองเป็นของภายในห้องนอน ซึ่งจะเป็นลายผ้าไหมสีครีมแบบนี้เลย

    นอกจากนี้สีของปลั๊กและสวิตซ์ไฟของยี่ห้อ Bticino ยังเลือกใช้ตามตำแหน่งที่เหมาะสมอีกด้วย มีทั้งสีขาวที่ใช้กับผนังทั่วไป และอลูมิเนียมสีเข้มที่ใช้กับส่วน Built in ลายไม้สีเข้มครับ

    ห้อง 3 Bedrooms ขนาด 240 ตารางเมตร ห้องนี้จะมีอยู่แค่ 3 ยูนิตเท่านั้น อยู่ในชั้น 27 – 29 เป็นห้องมุมหน้ากว้างที่มีจุดที่แตกต่างจากห้องอื่นๆอยู่ 2 จุดด้วยกันครับ จุดแรกคือภายนอกห้อง (มุมขวาล่าง) จะมีห้องแม่บ้านซึ่งจะมีห้องน้ำในตัวด้วยนะ โดยที่ห้องนี้จะมีประตูทางเข้าได้จาก Corridor ภายนอกห้องเท่านั้น จึงทำให้แบ่งแยกพื้นที่ของ maid กับเจ้าของห้องได้อย่างชัดเจนมากเลยทีเดียว ส่วนอีกจุดหนึ่งคือห้องครัวครับ คือที่ผ่านมา 2 type ไม่มีห้องไหนเลยที่ครัวจะอยู่ติดกับผนังกระจกภายนอก แต่สำหรับห้องนี้เป็นครัวปิดที่สามารถทำอาหารได้จริงจังเต็มที่เลยครับ รวมถึง Living room ก็มีขนาดค่อนข้างใหญ่มาก ได้ผนังกระจกถึง 2 ด้าน ทำให้ห้องโปร่งโล่งมากๆ และห้องนอนก็มีห้องน้ำในตัวทุกห้องไม่ต้องแย่งกันใช้งาน มีห้องน้ำส่วนกลางเป็น Powder room ให้ใช้แยกอีกต่างหาก และที่ชอบอีกอย่างคือโถงทางเดินกลางห้อง ซึ่งระหว่างทางจะ Built in ตู้เก็บของยาวตลอดแนวผนัง ช่วยเพิ่มพื้นที่เก็บของและใช้พื้นที่ได้เกิดประโยชน์คุ้มค่ามากเลยทีเดียว

    **รายละเอียดของวัสดุต่างๆเช่น ยี่ห้อ และรุ่น ของจริงอาจจะเป็นรุ่นนี้หรือเทียบเท่านะครับ

    ราคา

    ราคาและเงื่อนไขการขาย @ 2 July 2019

    • ห้อง 1 Bedroom ขนาด 83 – 84 ตารางเมตร
    • ห้อง 2 Bedrooms ขนาด 154 – 162 ตารางเมตร
    • ห้อง 3 Bedrooms ขนาด 240 ตารางเมตร
    • ราคาเริ่มต้น 38 – 250 ล้านบาท

    • รูปแบบการขาย Fully Fitted
    • ความสูงจากพื้นถึงฝ้าเพดาน 3.50 เมตร
    • Kitchen & Sink / ท็อปหิน Quartz
    • Hob & Hood / ของยี่ห้อ Gaggenau
    • จอง n/a บาท
    • ทำสัญญา n/a บาท
    • ดาวน์ n/a% ผ่อนดาวน์ n/a งวด
    • ค่ากองทุน n/a บาท/ตร.ม.
    • ค่าส่วนกลาง n/a บาท/ตร.ม./เดือน

    **ราคาที่เอามาลงในบทความเป็นราคา ณ วันที่เข้าไปเก็บข้อมูลทำรีวิว ดังนั้นราคาต่างๆอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ครับ

    บทสรุป

    ทำเล : ทำเลถนนหลังสวน ถือเป็น CBD ที่มีความเจริญและมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน โดยเฉพาะตำแหน่งที่ตั้งโครงการอยู่บริเวณปากซอยที่สามารถเดินไปรถไฟฟ้าหรือไปห้างละแวกนั้นอย่าง Central ชิดลม หรือจะเดินไปถึงสยามเลยก็ได้ครับ ทำให้เรื่องรถติดของคอนโดในเมืองไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไปสำหรับโครงการนี้ แต่ที่ชอบอีกเรื่องคือโดยรอบที่ดินโครงการ ทางด้านทิศตะวันออกและตะวันตก (ด้านหน้าและหลัง) ไม่มีตึกสูงบังในระยะใกล้เลยครับ ถึงแม้จะเป็น city view เหมือนกัน แต่ก็มีระยะให้หายใจหายคอบ้าง อีกอย่างคือเป็นทำเลที่มีสถานทูตเยอะ จึงมีความปลอดภัยค่อนข้างสูงเลยทีเดียวนะ

    การเดินทางโดยใช้รถ : ถนนหลังสวนเป็น one way ที่เงียบสงบ แต่ก็ไม่ใช่ซอยตันเพราะสามารถไปลัดออกถนนใหญ่จากถนนสารสินท้ายซอยได้ ซึ่งทางแยกทั้งหมดตรงนี้สามารถเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวาก็ได้หมด ทำให้การเดินทางเข้า-ออกเมืองทำได้สะดวก จะไปขึ้นทางด่วนเฉลิมมหานครที่ด่านพระราม 4 ก็ไม่ยาก ซึ่งโครงการนี้ก็มีที่จอดรถแบบ Auto Parking ถึง 231 คัน หรือคิดเป็น 146% ถือว่าเยอะมากเลยทีเดียว

    การเดินทางโดยไม่ใช้รถ : โครงการอยู่ใกล้ปากซอยสวนหลวง ห่างจากรถไฟฟ้า BTS สถานีชิดลม เพียงแค่ 140 m. ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าเส้นหลักที่จะวิ่งผ่านย่านสำคัญต่างๆใจกลางเมือง ทั้งสยาม ราชเทวี อโศก หรือเอกมัย ทองหล่อ ส่วนถนนหน้าโครงการก็มีรถแท็กซี่วิ่งผ่านนะ เรียกใช้บริการได้ไม่ยากเหมือนกัน

    วัสดุ : ถือว่าให้ของมาดี เหมาะสมกับราคาเลยครับ พื้นห้องส่วนใหญ่เป็นหินอ่อนธรรมชาติ กับเป็นพื้น Engineering wood ไม้โอ๊ค และเลือกใช้พื้นหิน Quartz ในส่วนครัวเพื่อทนกรดด่างได้ดี แล้วยังนำมาใช้กับเคาน์เตอร์ครัวอีกด้วย ชุดครัวเป็นของ Bulthaup ตู้เย็นและตู้แช่ไวน์ของ Sub-Zero เตาไฟฟ้า/เครื่องดูดควัน/เตาอบของ และเครื่องล้างจานของ Gaggenau หน้าต่างกระจก Insulated Low-E กรอบอลูมิเนียม พร้อมติดตั้งม่าน Roller กันแสง มี Walk in closet ของ Lema อ่างล้างหน้าของ Kohler ก๊อกน้ำของ Axor อ่างอาบน้ำของ Toto และได้โถสุขภัณฑ์อัตโนมัติของ Toto Washlet รุ่น NeoRest

    การออกแบบโครงการ : เรื่องแรกคือความเป็นส่วนตัวครับ นอกจากจำนวนยูนิตที่น้อยเพียง 158 ห้องแล้ว ยังมีการออกแบบฟังก์ชันส่วนกลางแยกโซนกันอย่างชัดเจน มีโซนของลูกบ้าน กับโซนของพนักงาน back of house อยู่ทางด้านหลังไม่รบกวนกัน รวมถึงมีการใช้ Direct-Entry Passenger Lift หรือ Private Lift ในการขึ้นอาคารอีกด้วย ทำให้มีลิฟต์โดยสารถึง 8 ตัว และมีอัตราส่วนลิฟต์เพียง 26.33 : 1 เท่านั้น เพียงแต่วิธีขึ้นไปใช้งาน sky facilities ยังแปลกๆอยู่บ้าง เพราะแทนที่แต่ละห้องจะได้ใช้แค่ลิฟต์ของตัวเองไม่รบกวนกัน กลับกลายเป็นว่าจะมีลิฟต์อยู่หนึ่งตัวที่ต้องใช้งานร่วมกันครับ แต่ก็ไม่ได้มีแต่ Private Lift เท่านั้น ยังมี Service Lift และ Public Lift สำหรับพนักงานแยกต่างหาก ซึ่งจะเปิดมาใช้งานที่ Corridor นอกห้องนั่นเองครับ ดังนั้น Corridor ของโครงการนี้จึงได้ใช้งานจริงนะ

    ส่วนการออกแบบตกแต่งภายในได้คุณ  ” Thomas Juul-Hansen” (โทมัส ยูล-ฮันเซน) ดีไซน์เนอร์ชาวเดนมาร์กชื่อดังมาช่วยออกแบบให้ ซึ่งก็สวยงามดีครับ ดูหรูหรา แต่ก็อบอุ่นด้วยสีสไตล์ Earth tone มากๆเลย และเรื่องสุดท้ายคือทิศทางการวางผังห้องครับ โดยห้องส่วนใหญ่จะเน้น take view ไปทางทิศตะวันออกและตะวันตก ซึ่งเป็นทิศที่ไม่มีตึกสูงบังอยู่ในระยะประชิด ซึ่งถือว่าทำออกมาได้ถูกต้องแล้วครับ ส่วนห้องมุมถึงแม้จะโดนบังวิวไปบ้างแต่ก็ไม่ได้ทำให้พื้นที่สูญเปล่า เพราะยังคงทำผนัง 2 ด้าน เพื่อให้ภายในอาคารสว่างและโปร่งโล่งครับ อีกทั้งยังเป็นโครงการ Pet Friendly เลี้ยงสัตว์ได้อีกด้วย

    การออกแบบห้องพักอาศัย : มีฟังก์ชันหลักครบ และด้วยขนาดพื้นที่ห้องที่ใหญ่มาก เริ่มต้นถึง 83 ตารางเมตร จึงทำให้แต่ละฟังก์ชันดูลงตัวและใช้งานได้จริง แบ่งพื้นที่แยกโซนกันอย่างชัดเจน มีทั้งโซนหน้าบ้านที่เป็น foyer ส่วนตัวรับ ถัดมาเป็นพื้นที่ common area ขนาดใหญ่ ซึ่งออกแบบมาให้เชื่อมต่อกับครัวเปิดเพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน โดยห้องนี้จะไม่มีพื้นที่ระเบียงเพราะเน้นพื้นที่ใช้สอยภายในมากกว่า ห้องนอนจะกั้นด้วยผนังทึบได้ความเป็นส่วนตัว และมีห้องน้ำในตัวทุกห้อง รวมถึงมี Powder room แยกของส่วนกลางด้วย แต่ที่น่าสนใจ คือในห้องน้ำ Master Bedroom ที่มีฟังก์ชันการอาบน้ำค่อนข้างหลากหลายให้เลือกใช้งานครับ ซึ่งคนที่ชอบอาบน้ำอาจจะชอบมากๆเลย แต่ที่ผมชอบที่สุดคือการใช้พื้นที่ริมทางเดินต่างๆให้เป็นประโยชน์ สังเกตได้ว่าในห้องจะมีตู้ Built in เยอะมาก ทำให้เก็บของได้เยอะ คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปต่อตารางเมตร

    สาธารณูปโภค : ถือว่าให้มาเยอะมากๆครับสำหรับโครงการนี้ ถ้าเทียบกับห้องพักแค่ 158 ยูนิต แต่ได้พื้นที่ส่วนกลางถึง 2,500 ตารางเมตร มีทั้ง มี Lobby แบบฝ้าเพดานสูง 6 m. และมีพื้นที่พักคอยแยกต่างหากด้านในแบบเป็นส่วนตัว แต่ที่ชอบคือด้านหลังโครงการมีทั้งช่องจอด EV Charging และพื้นที่ล้างรถ ซึ่งการอยู่อาศัยแบบคอนโดจะไม่ค่อยมีกัน ชั้นบนมีทั้งสระว่ายน้ำระบบโอโซนแบบควบคุมอุณหภูมิได้ มีฟิตเนสขนาดใหญ่ที่แยกส่วน Bodyweight Training ออกมาต่างหากด้วย มี Onsen แยกชายหญิง และห้อง Auditorium เอาไว้ดูหนังได้ นอกจากนี้ยังมีห้องพิเศษที่โครงการอื่นทั่วไปไม่ค่อยจะมีกัน อย่าง Wine Cellar, Cigar Storage และ Private Storage ที่เป็นพื้นที่เช่าเก็บของได้ครับ ส่วนที่ชั้นบนสุดจะมี Skylounge ไว้ใช้ขึ้นไปชมวิวกันได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีบริการอื่นๆที่คล้ายกับโรงแรมอีกนะ ทั้งพนักงานรับรถ พนักงานยกกระเป๋า และพนักงานที่เคาน์เตอร์ตลอด 24 ชม. รวมถึงมีบริการแม่บ้านทำความสะอาดในห้องสัปดาห์ละ 3 ครั้งอีกด้วย

    Judgement

    ราคาของคอนโดระดับ ULTIMATE CLASS ความคุ้มค่าด้านราคาไม่ใช่ปัจจัยหลักเพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจซื้อ ซึ่งผู้ที่ต้องการซื้อคอนโดในระดับนี้คงต้องมีความพึงพอใจและความชอบจนมองข้ามราคาไปอย่างแน่นอน ดังนั้นความคุ้มค่าด้านอารมณ์คือปัจจัยหลักอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งตราบเท่าที่ทางเรายังไม่สามารถวัดค่ามาตรฐานทางอารมณ์ได้ จึงมิอาจให้คะแนนได้ครับ

    BOTTOM LINE

    โครงการ SCOPE หลังสวน เหมาะกับคนที่ต้องการคอนโดใจกลาง CBD ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกในระยะเดินถึง ชื่นชอบความเป็นส่วนตัว มีพื้นที่ส่วนกลางหลากหลาย เน้นห้องพักขนาดใหญ่ ที่ได้รับการตกแต่งจากดีไซน์เนอร์ระดับโลก มีงบประมาณระดับ 38 – 250 ล้าน หรือมีกำลังผ่อนประมาณ 266,000 – 1,750,000 บาท/เดือน


    ติดตามพวกเราได้ที่
    Website : www.thinkofliving.com
    Twitter : www.twitter.com/thinkofliving
    YouTube : www.youtube.com/ThinkofLiving
    Instagram : www.instagram.com/thinkofliving
    Facebook : ThinkofLiving